ขุททกนิกายภาค ๑
ทุกนิบาต
๒.สันถวรรค
คิชฌชาดก
ว่าด้วยสายตาแร้ง
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภภิกษุเลี้ยงมารดารูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
เรื่องละเอียดอยู่ใน สุวรรณสามชาดก
พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุได้ยินว่าเธอเลี้ยงคฤหัสถ์จริงหรือ เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามว่า คฤหัสถ์นั้นเป็นใคร กราบทูลว่า มารดาบิดาของข้าพระองค์เองพระเจ้าข้า ทรงให้สาธุการว่า ดีแล้ว ดีแล้ว ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายพวกเธออย่าตำหนิโทษภิกษุนี้เลย แม้โบราณบัณฑิตทั้งหลายก็ได้ทำอุปการะแก่ผู้มิใช่ญาติด้วยอำนาจบุญคุณ ส่วนมารดาบิดาของภิกษุนี้เป็นภาระแท้ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า
ในอดีตกาลพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดพญาแร้ง เลี้ยงดูมารดาบิดาอยู่ที่คิชฌบรรพต ต่อมาคราวหนึ่ง เกิดพายุฝนใหญ่ แร้งทั้งหลายไม่สามารถทนพายุฝนได้ จึงพากันบินหนีมากรุงพาราณสีเพราะกลัวหนาว จับสั่นอยู่ด้วยความหนาว ณ ที่ใกล้กำแพงและคูเมือง ในเวลานั้นเศรษฐีกรุงพาราณสีออกจากเมืองจะไปอาบน้ำเห็นแร้งเหล่านั้นกำลังลำบาก จึงจัดให้มารวมกันที่กำบังฝนแห่งหนึ่ง ก่อไฟให้ผิง แล้วส่งไปยังป่าช้าโค หาเนื้อโคมาให้พวกแร้งแล้วจัดการอารักขา ครั้นพายุฝนสงบ แร้งทั้งหลายก็มีร่างกายกระปรี้กระเปร่า พากันบินกลับสู่ภูเขาตามเดิม พวกแร้งจับกลุ่มปรึกษากัน ณ ที่นั้นว่า เศรษฐีกรุงพาราณสี ได้ช่วยเหลือพวกเรามา ควรตอบแทนผู้ที่ช่วยเหลือเรา เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไป บรรดาพวกท่านผู้ใดได้ผ้าหรือเครื่องอาภรณ์ชนิดใด ผู้นั้นพึงคาบสิ่งนั้นให้ตกลงกลางเวหาใกล้เรือนของเศรษฐีกรุงพาราณสี ตั้งแต่นั้นมาแร้งทั้งหลายคอยดูความเผอเรอของพวกมนุษย์ที่ตากผ้าและเครื่องอาภรณ์ไว้กลางแดด ต่างพากันโฉบเฉี่ยวไปฉับพลันเหมือนเหยี่ยวคาบชิ้นเนื้อ ทิ้งตกลงกลางอากาศใกล้เรือนของท่านเศรษฐีกรุงพาราณสี เศรษฐีรู้ว่าเป็นเครื่องอาภรณ์ของแร้ง จึงให้เก็บอาภรณ์ทั้งหมดนั้นไว้เป็นส่วน ๆ
มหาชนพากันไปกราบทูลพระราชาว่า แร้งทั้งหลายปล้นเมือง พระราชารับสั่งว่า พวกเจ้าจับแร้งได้แม้แต่ตัวเดียวเท่านั้นก็จะได้ของคืนทั้งหมด แล้วให้วางบ่วงและข่ายดักไว้ในที่นั้น ๆ แร้งตัวที่เลี้ยงมารดาก็ติดบ่วง ชนทั้งหลายก็จับแร้งนั้นนำไปด้วยคิดว่าจักถวายพระราชา เศรษฐีกรุงพาราณสีกำลังเดินไปเฝ้าพระราชา ครั้นเห็นมนุษย์พวกนั้นจับแร้งเดินไป จึงได้ไปพร้อมกับเขาด้วยคิดว่า จักไม่ให้ผู้ใดรังแกแร้งตัวนี้ ชนทั้งหลายก็ถวายแร้งแด่พระราชา พระราชาจึงตรัสถามว่า พวกเจ้าปล้นเมืองคาบผ้าเป็นต้นไปหรือ
พญาแร้งกราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราช จริงพระเจ้าข้า"
ตรัสถามว่า "พวกเจ้าเอาไปให้แก่ใคร"
กราบทูลว่า "ให้แก่เศรษฐีกรุงพาราณสีพระเจ้าข้า"
ตรัสถามว่าเพราะเหตุไร
กราบทูลว่า "เพราะเศรษฐีนั้นได้ให้ชีวิตแก่พวกข้าพระองค์ การทำอุปการะตอบแก่ผู้มีอุปการะย่อมสมควรอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น พวกข้าพระองค์จึงให้ไป"
พระราชารับสั่งกะพญาแร้งว่า "ได้ยินว่า แร้งทั้งหลายอยู่ไกลตั้งร้อยโยชน์ย่อมเห็นซากศพ เพราะเหตุไร เจ้าจึงไม่เห็นบ่วงที่เขาดักจับตัวเล่า" แล้วตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-
[๑๗๗] เออก็ (เขากล่าวกันว่า) แร้งย่อมเห็นซากศพทั้งหลายได้ถึงร้อยโยชน์
เหตุไร ท่านมาถึงข่ายและบ่วงจึงไม่รู้เล่า?
พญาแร้งสดับพระราชดำรัสแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
[๑๗๘] ความเสื่อมจะมีในเวลาใด สัตว์ใกล้จะสิ้นชีวิตในเวลาใด
ในเวลานั้นถึงจะมาใกล้ข่าย และบ่วงก็รู้ไม่ได้ ฯ
พระราชาครั้นทรงสดับคำของแร้งแล้ว จึงตรัสถามเศรษฐีว่า "ดูก่อนมหาเศรษฐี แร้งทั้งหลายนำผ้าเป็นต้นมาที่เรือนของท่านจริงหรือ"
กราบทูลว่า "จริงพระเจ้าข้า"
ตรัสถามว่า "ผ้าเป็นต้นเหล่านั้นอยู่ที่ไหน"
กราบทูลว่า "ขอเดชะข้าพระพุทธเจ้าจัดผ้าเหล่านั้นไว้เป็นส่วน ๆ ข้าพระพุทธเจ้าจะให้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของ ขอพระองค์ได้โปรดทรงปล่อยแร้งตัวนี้เถิด พระเจ้าข้า" มหาเศรษฐีกราบทูลให้ปล่อยพญาแร้ง แล้วคืนสิ่งของให้แก่ทุกคน
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศอริยสัจ เมื่อจบอริยสัจ ภิกษุผู้เลี้ยงมารดาตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นอานนท์ในบัดนี้
เศรษฐีกรุงพาราณสีได้เป็นสารีบุตร
ส่วนแร้งเลี้ยงมารดา คือเราตถาคตนี้แล
จบ คิชฌชาดก