ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๒. สีลวรรค
อายาจิตภัตตชาดก
ว่าด้วยการเปลื้องตน
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพลีกรรม อ้อนวอนเทวดาทั้งหลาย จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกาลนั้น มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะไปค้าขาย ได้ฆ่าสัตว์ทำพลีกรรมแก่เทวดาทั้งหลาย อ้อนวอนว่า ถ้าข้าพเจ้าทั้งหลายสำเร็จประโยชน์โดยไม่มีเหตุขัดข้อง เมื่อกลับมาแล้วจักกระทำพลีกรรมแก่ท่านทั้งหลายอีก ดังนี้แล้ว จึงพากันไป ครั้นเมื่อพวกมนุษย์ได้ถึงสำเร็จประโยชน์โดยไม่มีอันตรายกลับมาแล้ว ก็สำคัญว่า ผลสำเร็จนี้เกิดด้วยอานุภาพของเทวดา จึงได้ฆ่าสัตว์เป็นอันมาก กระทำพลีกรรมเพื่อให้เป็นไปตามที่ได้อ้อนวอนไว้นั้น ภิกษุทั้งหลายเห็นดังนั้นจึงทูลถาม พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ประโยชน์ในการบนบานนี้มีอยู่หรือ ?”
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดง ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล มีกุฏุมพีคนหนึ่งในบ้านแห่งหนึ่งในแคว้นกาสี ได้บนบานที่จะทำพลีกรรมแก่เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไทรซึ่งตั้งอยู่ใกล้ประตูบ้าน แล้วก็เดินทางกลับมาโดยไม่มีอันตราย จึงฆ่าสัตว์เป็นอันมากแล้วไปยังโคนต้นไทรด้วยตั้งใจว่า จักแก้บน รุกขเทวดายืนอยู่ที่ค่าคบของต้นไม้กล่าวคาถานี้ว่า
“ถ้าท่านปรารถนาจะเปลื้องตนให้พ้น ท่านละโลกนี้ไปแล้วก็จะพ้นได้
ก็ท่านเปลื้องตนอยู่อย่างนี้กลับจะติดหนักเข้า
เพราะนักปราชญ์หาได้เปลื้องตนด้วยอาการอย่างนี้ไม่
การเปลื้องตนอย่างนี้ เป็นเครื่องติดของคนพาล.”
“ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ถ้าท่านจะเปลื้องตน คือท่านปรารถนาจะเปลื้องตน ท่านละโลกนี้ไปแล้วก็จะพ้นได้ คือจงพ้นโดยประการที่ติดพันโลกหน้า
ก็ท่านเมื่อปลดเปลื้องโดยประการที่ปรารถนา เพื่อฆ่าสัตว์ปลดเปลื้อง ชื่อว่ายังติดพันด้วยกรรมอันลามก เพราะเหตุไร เพราะนักปราชญ์ทั้งหลาย หาได้เปลื้องตนด้วยอาการอย่างนี้ไม่”
อธิบายว่า ก็บุรุษผู้เป็นบัณฑิตเหล่านั้น ย่อมไม่ปลดเปลื้องตนด้วยคำมั่นสัญญาอย่างนี้ เพราะเหตุไร ? เพราะการเปลื้องตนเห็นปานนี้ เป็นเหตุติดพันของคนพาล คือธรรมดาการเปลื้องตนเพราะกระทำปาณาติบาตนี้ ย่อมเป็นเหตุติดหนักของคนพาล
รุกขเทวดาแสดงธรรมด้วยประการดังกล่าวนี้ ตั้งแต่นั้นมนุษย์ทั้งหลายงดเว้นจากกรรมคือปาณาติบาตเช่นนั้น พากันประพฤติธรรม เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็ไปเกิดยังเทพนคร
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า สมัยนั้นเราได้เป็นรุกขเทวดาแล.