Thai Chinese (Traditional) English French Italian Portuguese Russian
พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๗. อิตถีวรรค

อัณฑภูตชาดก

ว่าด้วยการวางใจภรรยา

พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันนั่นแหละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ความย่อว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า จริงหรือ ภิกษุ ที่เขาว่า เธอกระสัน ครั้นภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย ใคร ๆ ก็รักษาไม่ได้ ในครั้งก่อนบัณฑิตทั้งหลาย ถึงจะรักษาหญิงไว้ ตั้งแต่ออกจากครรภ์ ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ แล้วทรงนำเรื่องใน อดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในคัพโภทรแห่งพระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต ครั้นทรงพระเจริญวัย ก็ประสพความสำเร็จการศึกษาในศิลปะทุกอย่าง พอพระราชบิดาสวรรคตก็ได้เสวยราชย์ พระองค์ทรงพอพระทัยในการทรงสกากับท่านปุโรหิต ก็เมื่อจะทรงเล่น ทรงขับเพลงสำหรับการพนัน บทนี้ว่า :

"แม่น้ำทุกสายไหลคด ป่าทั้งหมดสำเร็จด้วยไม้

หญิงทั้งหลายคงทำชั่ว เมื่อได้โอกาสที่ลับตา." ดังนี้

พลางก็ซัดลูกบาศก์ทองเหนือแผ่นกระดานเงิน เมื่อพระราชาทรงเล่นโดยวิธีนี้ ทรงชนะเป็นนิตย์ ส่วนปุโรหิตพ่ายแพ้ ต้องเสียทรัพย์ให้แก่พระราชา ท่านปุโรหิตครั้นทรัพย์สมบัติในเรือนร่อยหลอไปโดยลำดับ ก็ได้คิดว่าขืนเป็นเช่นนี้ ทรัพย์สินในเรือนทุกอย่างต้องหมดแน่ จำเราต้องเสาะแสวงหามาตุคามคนหนึ่งที่ไม่เคยสมสู่กับบุรุษอื่นเลยมาไว้ในเรือนให้ได้ ครั้นแล้ว ก็กลับเกิดปริวิตกว่า เราไม่อาจจะรักษาหญิงที่เคยเห็นชายอื่นมาแล้วไว้ได้ จำเราจักต้องรักษาหญิงคนหนึ่งไว้ตั้งแต่แรกคลอด ต่อเจริญวัยแล้วจึงให้อยู่ในอำนาจ (เป็นนางบำเรอ) ทำให้เป็นหญิงมีชายเดียว จัดแจงการรักษาอย่างมั่นคง จึงจะนำทรัพย์มาจากราชสกุลได้

ปุโรหิตนั้นเป็นคนฉลาดในวิชาดูอวัยวะ ดังนั้น พอเห็นหญิงทุคคตะคนหนึ่งมีครรภ์ ก็ทราบว่า นางจักคลอดลูกเป็นหญิง จึงเรียกนางมาหา ให้เสบียง ให้อยู่แต่ภายในเรือนเท่านั้นพอคลอดแล้ว ก็ให้เงินส่งตัวไป ไม่ให้เด็กหญิงนั้นเห็นชายอื่น ๆ เลย มอบให้ในมือของพวกหญิงเท่านั้น เลี้ยงดูจนเจริญวัย ตั้งชื่อว่า มาณวิกา

ระหว่างที่กุมารีนั้นยังไม่เติบโตท่านปุโรหิตไม่ยอมเล่นสกาพนันกับพระราชา ครั้นให้กุมารีเติบใหญ่แล้ว ปุโรหิตก็ได้นางเป็นนางบำเรอ ครั้นแล้วก็กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เราเล่นพนันสกากันเถิด พระราชาทรงรับสั่งว่า ดีละ ทรงเล่นโดยทำนองเดิมนั่นแหละ ในเวลาที่พระ ราชาทรงขับเพลงทอดลูกบาศก์ ปุโรหิตก็กล่าวว่า "ยกเว้น มาณวิกา".ตั้งแต่นั้นมา ปุโรหิตกลับชนะ พระราชากลับเป็นฝ่ายแพ้.

พระโพธิสัตว์ทรงคะเนว่า ในเรือนของปุโรหิตนี้ คงจะมีหญิงคนหนึ่งที่มีชายแต่คนเดียว จึงทรงให้อำมาตย์สืบดู ก็ทรงทราบว่า มีจริง ทรงพระดำริต่อไปว่า ต้องให้คนทำลายศีลของนางเสีย จึงรับสั่งให้นักเลงผู้หนึ่งมาเฝ้า มีพระดำรัสว่า เจ้าจักสามารถทำลายศีลแห่งหญิงของท่านปุโรหิตได้หรือไม่  นักเลงผู้นั้น รับสนองพระราชประสงค์ว่า ข้าพระองค์สามารถ พระเจ้าข้า

ครั้งนั้นพระราชาทรงพระราชทานทรัพย์แก่เขา มีพระดำรัสว่า ถ้าเช่นนั้น จงทำให้สำเร็จโดยเร็วเถิด ทรงส่งเขาไป เขารับพระราชทานทรัพย์แล้ว ก็จ่ายของมีเครื่องหอม ธูปกระแจะ และการบูรเป็นต้นไปเปิดร้านขายเครื่องหอมทุก ๆ อย่าง ไม่ไกลเรือนของท่านปุโรหิตนั้น แม้เรือนของท่านปุโรหิต ก็เป็นเรือน ๗ ชั้น มีซุ้มประตู ๗ แห่ง และที่ซุ้มประตูทุกแห่งมีหญิงรักษาทั้งนั้น ชายอื่นเว้นแต่ท่านพราหมณ์ ไม่มีผู้ใดจะได้เข้าไปสู่เรือนเลย แม้ตะกร้าทิ้งขยะ ก็ต้องเป็นหญิงเข้าไปชำระทั้งนั้น ปุโรหิตคนหนึ่ง หญิงรับใช้ของมาณวิกานั้นคนหนึ่ง เท่านั้น ที่ได้เห็นมาณวิกานั้น

ครั้งนั้นหญิงรับใช้ของมาณวิกา ถือเอาทรัพย์สำหรับซื้อเครื่องหอมและดอกไม้เดินไป เวลาไปก็เดินผ่านไปใกล้ ๆ ร้านของนักเลงนั้น เขารู้เป็นอย่างดีว่า หญิงคนนี้ เป็นหญิงรับใช้ของมาณวิกา วันหนึ่งพอเห็นนางเดินมา ก็ลุกขึ้นจากร้าน ถลันไปฟุบที่ใกล้เท้านาง กอดเท้าทั้งคู่ไว้แน่น ด้วยแขนทั้งสองข้าง พลางร่ำไห้ปริเวทนาว่า แม่จ๋า แม่ไปไหนเสียเล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้  พวกนักเลงที่ซ้อมกันไว้ที่ยืนอยู่ข้างหนึ่ง ก็พากันพูดว่า แม่กับลูก ดูละม้ายกันโดยสัณฐานของมือเท้าและใบหน้า และอากัปกิริยา ดูเหมือนกับคน ๆ เดียวกัน หญิงนั้น เมื่อคนพวกนั้นช่วยกันพูด ก็เชื่อแน่แก่ตน เข้าใจว่า บุรุษนี้เป็นลูกของเราแน่นอน แม้ตนเองก็พลอยร้องไห้ไปด้วย คนทั้งสองต่างยืนกอดกันร้องไห้.

คราวนั้น นักเลงจึงกล่าวว่า แม่จ๋า แม่อยู่ที่ไหน  นาง ตอบว่า พ่อคุณ แม่รับใช้หญิงสาวของท่านปุโรหิต ผู้มีลีลาเยื้องกรายเสมอด้วยกินรี มีรูปงามเป็นเลิศอยู่จ๊ะ เขาถามต่อไปว่า บัดนี้ แม่กำลังจะไปไหนต่อละจ๊ะ  นางบอกว่า แม่กำลังจะไปหาซื้อของหอม และพวงมาลาให้นายสาว.เขากล่าวว่า แม่จ๋า แม่จะต้องไปซื้อที่อื่นทำไม นับแต่นี้ไป โปรดรับเอาของของฉันไปเถิด แล้วไม่รับเงินเป็นมูลค่า ให้สิ่งของมีหมากพลู แลกระวานเป็นต้น กับดอกไม้ต่าง ๆ เป็นอันมากไป มาณวิกาเห็นเครื่องหอมและดอกไม้มากมาย ก็กล่าวว่า แม่คุณ วันนี้ ท่านพราหมณ์ของเราใจดี หรืออย่างไร 

นางถามว่า ทำไมคุณนายพูดอย่างนี้เล่า

มาณวิกา เพราะฉันเห็นของเหล่านี้มากมาย

นางกล่าวว่า พราหมณ์ไม่ได้ให้เงินค่าของมากขึ้นเลย แต่ของนี้ ฉันนำมาจากร้านลูกของฉัน.

นับแต่นั้นมา นางก็เก็บเอาทรัพย์ที่พราหมณ์ให้นั้นไว้เสียเอง แล้วก็ไปรับเอาเครื่องหอม และดอกไม้เป็นต้น มาจากร้านของนักเลงคนนั้นเรื่อยมา ล่วงมาสองสามวัน นักเลงก็ทำลวงว่า เป็นไข้นอนเสีย นางไปที่ประตูร้านของเขา ไม่เห็นก็ถามว่า ลูกของเราไปไหน  คนในร้านบอกว่าลูกชายของท่านไม่สบาย นางไปถึงที่นอนของเขา แล้วนั่งลูบหลัง ถามว่า ลูกเอ๋ย ไม่สบายเป็นอะไรไปหรือ  เขานิ่งเสีย นางก็ถามว่า ทำไมไม่พูดเล่า ลูกเอ๋ย นักเลงพูดว่า แม่จ๋า ถึงฉันจะตายก็ไม่สามารถจะบอกแม่ได้ นางจึงกล่าวว่า เจ้าไม่บอกแม่แล้ว จะควรบอกใครเล่า บอกเถิดพ่อคุณ นักเลงจึงบอกว่า แม่จ๋า ฉันไม่ป่วยไข้ เป็นอะไรหรอก แต่ฉันได้ยินคำสรรเสริญนางมาณวิกาแล้ว ก็มีจิตผูกพันมั่นคง เมื่อฉันได้นางจึงจะมีชีวิตสืบไป เมื่อไม่ได้ จักยอมตายที่นี่แหละ นางกล่าวว่า พ่อคุณ เรื่องนี้เป็นภาระของแม่เอง ลูกอย่าเสียใจเพราะเรื่องนี้เลย ปลอบเอาใจเขาแล้ว ก็ขนของหอมและดอกไม้ไปมากมาย

มาถึงสำนักมาณวิกา ก็กล่าวว่าคุณนายเจ้าขา ลูกดิฉันได้ยินคำสรรเสริญคุณนาย จากสำนักของฉันแล้ว มีจิตผูกพันมั่นคง ทำอย่างไรกันดีเล่า  มาณวิกาตอบว่า ถ้าแม่พาเขามาได้ ฉันจะให้โอกาสเหมือนกัน นางฟังคำของมาณวิกาแล้ว แต่บัดนั้นมา ก็กวาดขยะเป็นอันมากจากทุกซอกทุกมุมของเรือน เทรดหัวหญิงที่เป็นยาม หญิงที่เป็นยามอึดอัดใจด้วยเรื่องนั้น ก็ลาออกไป นางทำโดยนัยเดียวกันนี้แหละ เวลาหญิงที่เป็นยามคนไหนพูดอะไร ๆ นางจะทิ้งขยะรดหัวหญิงยามนั้น ๆ ตั้งแต่นั้นนางจะนำสิ่งใดเข้ามา หรือนำอะไรออกไป ก็ไม่มีใครกล้าตรวจค้นสิ่งนั้น.

ได้เวลา นางให้นักเลงนั้นนอนในตะกร้าดอกไม้ แบกไปสู่สำนักมาณวิกา นักเลงทำลายศีลของมาณวิกาเสียแล้ว ได้อยู่ในปราสาทนั้นเอง สองสามวัน เมื่อท่านปุโรหิตออกไปข้างนอกแล้ว ทั้งสองคนก็ร่วมอภิรมย์กัน เมื่อปุโรหิตมา นักเลงก็ซ่อนเสีย ครั้นล่วงมาได้วันสองวันมาณวิกาก็พูดกะนักเลงว่า ที่รัก บัดนี้ ท่านควรจะไปเสียที นักเลงก็กล่าวว่า ฉันจะตีหัวพราหมณ์ให้ได้เสียก่อนถึงจะไป มาณวิกากล่าวว่า อย่างนั้นก็ได้ แล้วให้นักเลงซ่อนตัวเสียเมื่อพราหมณ์มา ก็พูดอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าขา ดิฉันอยากจะฟ้อนในเมื่อท่านบรรเลงพิณ พราหมณ์รับคำว่า เจ้าจงฟ้อนเถิด นางผู้เจริญ แล้วก็บรรเลงพิณ นางมาณวิกา กล่าวว่า ท่านเจ้าขา ดิฉันละอายในเมื่อท่านจ้องดู ดิฉันขอปิดหน้าท่านเสียก่อนถึงจะฟ้อน ปุโรหิตกล่าวว่า ถ้าเจ้าละอายก็จงกระทำอย่างนั้นเถิด มาณวิกาหยิบผ้าเนื้อหนาปิดตาท่านปุโรหิต พราหมณ์ก็บรรเลงพิณไปเรื่อย ๆ นางฟ้อนได้สักครู่ ก็กล่าวว่า ท่านเจ้าขา ดิฉัน อยากจะเคาะศีรษะท่านสักครั้งหนึ่งนะเจ้าคะ พราหมณ์ผู้หลงไหลในสตรี ไม่รู้เหตุการณ์อะไร ก็กล่าวว่าเคาะเถิด มาณวิกา ให้สัญญาแก่นักเลง เขาย่องเข้ามาใกล้ ๆ ยืนอยู่ หลังพราหมณ์ทีเดียว แล้วถองศีรษะด้วยศอก นัยน์ตาของพราหมณ์ถึงกับถลน หัวโนขึ้น พราหมณ์เจ็บปวดรวดร้าว กล่าวว่า เจ้าจงส่งมือมานี่ มาณวิกาส่งมือของตนวางไว้บนมือพราหมณ์ พราหมณ์กล่าวว่า มือนิ่ม ๆแต่เขกแข็ง นักเลงครั้นเขกหัวพราหมณ์แล้วก็ซ่อนตัวเสีย มาณวิกาเมื่อนักเลงไปซ่อน ก็เปลื้องผ้าออกจากหน้าพราหมณ์ หยิบน้ำมันมาทา นวดศีรษะให้ เมื่อพราหมณ์ออกไปข้างนอกแล้ว หญิงบำเรอให้นักเลงนอนในตะกร้าดังเก่า พาออกไป นักเลงจึงไปเฝ้าพระราชา กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ.

พระราชาตรัสแก่พราหมณ์ผู้มาเฝ้าพระองค์ว่า เราเล่นสกาพนันกันเถิด ท่านพราหมณ์.ท่านปุโรหิตรับสนองพระดำรัสว่า ดีละ พระเจ้าข้า พระราชาโปรดให้จัดตั้งวงเพื่อเล่นสกา ทรงขับเพลงการพนัน แล้วทรงทอดลูกบาศก์ พราหมณ์ไม่รู้เรื่องที่มาณวิกาถูกทำลายตบะเสียแล้วคงกล่าวว่า ยกเว้นมาณวิกา แม้จะกล่าวอย่างนี้ ก็ต้องแพ้อยู่นั่นเอง พระราชาทรงชนะแล้ว ตรัสว่าพราหมณ์ท่านกล่าวอะไร  ตบะแห่งมาณวิกาของท่านถูกทำลายแล้ว ท่านอุตส่าห์รักษามาตุคามตั้งแต่อยู่ในครรภ์ กระทำการป้องกันในที่ถึง ๗ แห่ง สำคัญว่า เราจักรักษาได้ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามแม้บุรุษจะเอาใส่ไว้ในท้องเที่ยวไป ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ ขึ้นชื่อว่าหญิงที่มีบุรุษคนเดียวไม่มีดอก มาณวิกาของท่านกล่าวว่า ดิฉันปรารถนาจะฟ้อน เอาผ้าผูกหน้าของท่านผู้บรรเลงพิณเสีย ให้ชายชู้ของตนเอาศอกถองศีรษะท่านแล้วก็ส่งไป คราวนี้ ท่านจะยกเว้นได้อย่างไรเล่า ดังนี้แล้วตรัส คาถาความว่า :

"พราหมณ์ถูกนางเอาผ้าผูกหน้าเสียหมด ให้บรรเลงพิณ

เพราะเหตุใด ไม่ทราบเหตุนั้นเลย

หญิงที่เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเป็นพืช เป็นภรรยายังทำเสียได้

ใครเล่าจะวางใจในภรรยานั้น ๆ ได้แน่นอน" ดังนี้.

พระโพธิสัตว์ ทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์อย่างนี้ พราหมณ์ฟังธรรมเทศนาของพระโพธิสัตว์แล้ว ไปสู่นิเวศน์ กล่าวกะมาณวิกานั้นว่า ได้ยินว่า เจ้ากล้าทำชั่วถึงขนาดนี้เชียวหรือ  มาณวิกาถามว่า ท่านเจ้าคะใครพูดอย่างนี้เล่าคะ ดิฉันนี่แหละเขกหัวท่าน คนอื่นไม่มีใครดอก ถ้าท่านไม่เชื่อว่าดิฉันนั้นเป็นผู้ไม่ทราม ไปสัมผัสชายอื่น ที่มิใช่ท่านแล้ว จักกระทำสัจจกิริยา ลุยไฟให้ท่านเชื่อ

พราหมณ์กล่าวว่าอย่างนั้นก็ดี จึงให้สุมฟืนกองใหญ่จุดไฟ แล้วเรียกนางมากล่าวว่า ถ้าเจ้าแน่ใจตนเอง จงลุยไฟเถิด ฝ่ายมาณวิกากล่าวซักซ้อมกะหญิงผู้รับใช้ตนไว้ก่อนทีเดียวว่า แม่คุณ จงไปบอกลูกของแม่ให้ไปที่นั่น ในเวลาฉันลุยไฟ ให้จับมือฉันไว้ หญิงนั้นก็ไปบอกอย่างนั้น นักเลง มายืนอยู่ท่ามกลางมหาชน มาณวิกาหวังจะลวงพราหมณ์ ยืนอยู่ท่ามกลางมหาชน กระทำสัจจกิริยาว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ขึ้นชื่อว่าการสัมผัสด้วยมือของชายอื่นยกเว้นท่านแล้ว ดิฉันไม่เคยรู้จักเลย ด้วยสัจจะนี้ ขอไฟนี้อย่าไหม้ดิฉันเลย พลางทำท่าจะลุยไฟ

ในขณะนั้น นักเลงก็ประกาศว่า ดูเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงดูการกระทำของพราหมณ์ปุโรหิต ท่านจะให้มาตุคามผู้งามอย่างนี้ลุยไฟ แล้วตรงไปจับมือนางไว้ นางสะบัดมือแล้ว พูดกับปุโรหิตว่าท่านเจ้าขา สัจจกิริยาของดิฉันถูกทำลายเสียแล้ว ดิฉันไม่อาจลุยไฟได้เจ้าค่ะ พราหมณ์ถามว่าเพราะเหตุไร  มาณวิกาตอบว่า ในวันนี้ดิฉันได้ทำสัจจกิริยาไว้อย่างนี้ว่า ยกเว้นสามีของดิฉันแล้ว ดิฉันไม่เคยสัมผัสมือของชายอื่นเลย บัดนี้ ดิฉัน ถูกชายคนนี้จับมือเสียแล้ว เจ้าค่ะ พราหมณ์รู้ทันว่า เราถูกนางมาณวิกาลวงเอา ก็โบยตีนางแล้วไล่ไป ได้ยินว่า หญิงเหล่านี้ ประกอบไปด้วยอสัทธรรมอย่างนี้ ทำกรรมชั่วช้าเป็นอันมาก เพื่อจะลวงสามีของตน ทำการสบถได้ทั้งวันว่า ดิฉันไม่ได้กระทำอย่างนี้ ย่อมเป็นหญิงมีจิตปรวนแปรไปได้ต่าง ๆ

พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า มาตุคามใคร ๆ รักษาไว้ไม่ได้ อย่างนี้ ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันบรรลุโสดาปัตติผล พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า

พระเจ้ากรุงพาราณสีในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อัณฑภูตชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ