ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๓. กุรุงควรรค
กุกกุรชาดก
ว่าด้วยสุนัขที่ถูกฆ่า
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภการประพฤติประโยชน์แก่พระญาติ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
การประพฤติประโยชน์แก่พระญาตินั้น จักมีแจ้งใน ภัททสาลชาดก ทวาทสนิบาต ก็พระศาสดาทรงตั้งเรื่องนี้แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดในกำเนิดสุนัข ห้อมล้อมด้วยสุนัขมิใช่น้อยอยู่ในสุสานใหญ่ อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จขึ้นทรงรถเทียมม้าสินธพขาว ประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวง เสด็จไปยังพระอุทยาน ทรงเล่นในพระอุทยานนั้นตลอดกลางวัน เมื่อพระอาทิตย์อัสดง จึงเสด็จเข้าพระนคร ราชบุรุษทั้งหลายวางสายเชือกหนังรถนั้นไว้ตรงที่ผูกรถที่พระลานหลวง เมื่อฝนตกตอนกลางคืน รถนั้นก็เปียกฝน พวกสุนัขที่เลี้ยงไว้ในราชตระกูลลงจากปราสาทชั้นบน กัดกินหนังและชะเนาะของรถนั้น
วันรุ่งขึ้น พวกราชบุรุษจึงกราบทูลพระราชาว่า
“ข้าแต่สมมติเทพ สุนัขทั้งหลายเข้าไปทางท่อน้ำ กัดกินหนังและชะเนาะของรถนั้น พระเจ้าข้า”
พระราชาทรงกริ้วสุนัข จึงตรัสว่า “พวกท่านจงฆ่าพวกสุนัขทันทีที่ได้เห็น”
ตั้งแต่นั้นมา ความพินาศใหญ่หลวงจึงเกิดขึ้นแก่พวกสุนัข สุนัขเหล่านั้นเมื่อถูกฆ่าในที่ที่พบเห็นจึงหนีไปป่าช้า ได้พากันไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ถามว่า “ท่านทั้งหลายเป็นอันมากพากันมาประชุม ด้วยเหตุอะไรหนอ ?”
สุนัขเหล่านั้นกล่าวว่า “พระราชาทรงกริ้วว่า นัยว่า สุนัขกินหนังและชะเนาะของรถภายในพระราชวัง จึงทรงสั่งให้ฆ่าสุนัข สุนัขเป็นอันมากพินาศ มหาภัยเกิดขึ้นแล้ว”
พระโพธิสัตว์คิดว่า ในที่ที่มีการอารักขา สุนัขทั้งหลายในภายนอก ย่อมไม่มีโอกาส กรรมนี้จักเป็นกรรมของพวกสุนัขเลี้ยงในภายในพระราชนิเวศน์นั่นเอง ก็ภัยอะไร ๆ ย่อมไม่มีแก่พวกโจร ส่วนพวกที่ไม่ใช่โจรกลับได้ความตาย ถ้ากระไร เราจะแสดงพวกโจรแก่พระราชาแล้วให้ทานชีวิตแก่หมู่ญาติ
พระโพธิสัตว์นั้น ปลอบโยนญาติทั้งหลายให้เบาใจแล้วกล่าวว่า
“ท่านทั้งหลายอย่ากลัว เราจักนำความไม่มีภัยมาให้แก่ท่านทั้งหลาย พวกท่านจงอยู่ที่นี้แหละ จนกว่าเราจะได้เฝ้าพระราชา” แล้วรำพึงถึงบารมี กระทำเมตตาภาวนาให้เป็น ปุเรจาริกไปในเบื้องหน้าแล้วอธิษฐานว่า ใคร ๆ อย่าได้สามารถขว้างก้อนดิน หรือไม้ค้อนเบื้องบนเรา แล้วจึงเข้าไปภายในพระนครแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ครั้งนั้น แม้สัตว์ตัวหนึ่งเห็นพระโพธิสัตว์แล้วชื่อว่า โกรธแล้วแลดู มิได้มี ฝ่ายพระราชา ทรงสั่งฆ่าสุนัขแล้วประทับนั่งอยู่บนพระราชอาสน์ในท้องพระโรง พระโพธิสัตว์ไปในท้องพระโรงแล้ววิ่งเข้าไปภายใต้อาสน์ของพระราชา ลำดับนั้น พวกราชบุรุษก็เข้ามาเพื่อจะนำพระโพธิสัตว์นั้นออกมา แต่พระราชาทรงห้ามไว้ พระโพธิสัตว์นั้นพักอยู่หน่อยหนึ่งแล้วออกจากภายใต้อาสน์ ถวายบังคมพระราชาแล้วทูลถามว่า ได้ยินว่า พระองค์ทรงให้ฆ่าสุนัขจริงหรือพระเจ้าข้า
พระราชาตรัสว่า “เออ เราให้ฆ่า”
พระโพธิสัตว์ทูลถามว่า “ข้าแต่พระจอมคน สุนัขเหล่านั้นมีความผิดอะไร ?”
พระราชาตรัสว่า “สุนัขทั้งหลายมันกินหนังหุ้ม และชะเนาะแห่งรถของเรา”
พระโพธิสัตว์ทูลถามว่า “พระองค์ทรงรู้จักสุนัขตัวที่กินแล้วหรือ”
พระราชาตรัสว่า “ไม่รู้”
พระโพธิสัตว์ทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ การไม่ทรงทราบโดยถ่องแท้ว่า โจรที่กินหนังชื่อนี้ แล้วทรงให้ฆ่าในที่ที่ได้พบเห็นทันที ไม่สมควร พระเจ้าข้า”
พระราชาตรัสว่า “เพราะพวกสุนัขมักกัดกินหนังหุ้มรถ เราจึงสั่งฆ่าสุนัขว่า พวกท่านจงฆ่าสุนัขที่ได้พบเห็นทั้งหมดเลย”
พระโพธิสัตว์ทูลว่า “ก็มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นฆ่าสุนัขทั้งหมดทีเดียวหรือ หรือว่า สุนัขแม้ไม่ได้ความตายก็มีอยู่”
พระราชาตรัสว่ามี “สุนัขเลี้ยงในตำหนักของเรา ไม่ได้การถูกฆ่าตาย”
พระมหาสัตว์ทูลว่า “ข้าแต่มหาราช พระองค์ได้ตรัสในบัดนี้ทีเดียวว่า เพราะพวกสุนัขมักกัดกินหนังหุ้มรถ เราจึงสั่งฆ่าสุนัขว่า พวกท่านจงฆ่าสุนัขทุกตัวที่ได้พบเห็น แต่บัดนี้พระองค์ตรัสว่า สุนัขเลี้ยงในตำหนักของเราไม่ได้การถูกฆ่าตาย เมื่อเป็นอย่างนั้น พระองค์ย่อมลุอคติเช่นฉันทาคติ เป็นต้น ก็ชื่อว่าการลุอคติไม่สมควร และไม่เป็น ทศพิธราชธรรม ธรรมดา พระราชาผู้แสวงหาเหตุและมิใช่เหตุ เป็นเช่นกับตาชั่งจึงจะควร บัดนี้ สุนัขเลี้ยงในราชสกุลไม่ได้ถูกฆ่าตาย สุนัขที่ทุรพลเท่านั้นจึงจะถูกฆ่าตาย เมื่อเป็นเช่นนั้น อันนี้ไม่เป็นการฆ่าสุนัขทุกตัว แต่อันนี้ชื่อว่าเป็นการฆ่าสุนัขที่ทุรพล” ก็แหละครั้นทูลอย่างนี้แล้ว จึงเปล่งเสียงอันไพเราะกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้นไม่เป็นธรรม” เมื่อจะแสดงธรรมแก่พระราชา จึงกล่าวว่า
“สุนัขเหล่าใดอันบุคคลเลี้ยงไว้ในราชสกุล เจริญในราชสกุล สมบูรณ์ด้วยสีสันและกำลัง สุนัขเหล่านี้นั้นไม่ถูกฆ่า พวกเรากลับถูกฆ่าโดยไม่แปลกกัน หามิได้ กลับชื่อว่าการฆ่าแต่สุนัขทั้งหลายที่ทุรพล.”
พระราชาได้ทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์แล้วจึงตรัสว่า “ดูก่อนบัณฑิต ก็ท่านรู้หรือว่า สุนัขตัวไหนกินหนังหุ้มรถ”
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “รู้พระเจ้าข้า”
พระราชาตรัสว่า “สุนัขพวกไหนกิน”
พระโพธิสัตว์ทูลว่า “พวกสุนัขเลี้ยงที่อยู่ในตำหนักของพระองค์กิน พระเจ้าข้า”
พระราชาตรัสว่า “ท่านต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า สุนัขเหล่านั้นกินอย่างไร”
พระโพธิสัตว์ทูลว่า “ข้าพระบาทจักแสดงความที่สุนัขเหล่านั้นกิน”
พระราชาตรัสว่า “จงแสดงเถิด”
บัณฑิตพระโพธิสัตว์ทูลว่า “พระองค์จงให้นำพวกสุนัขเลี้ยงในตำหนักของพระองค์มา แล้วให้นำเปรียง และหญ้าแพรกมาหน่อยหนึ่ง”
พระราชาได้ทรงกระทำอย่างนั้น ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ให้ขยำหญ้ากับเปรียงแล้วทูลกะพระราชานั้นว่า
“ขอพระองค์จงให้สุนัขเหล่านี้ดื่ม”
พระราชาทรงให้ทำอย่างนั้นแล้วให้ดื่ม สุนัขทั้งหลายที่ดื่มแล้ว ๆ ก็ถ่ายออกมาพร้อมกับหนังทั้งหลาย พระราชาทรงดีพระทัยว่าเหมือนพยากรณ์ของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า จึงได้ทรงทำการบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยเศวตฉัตร
พระโพธิสัตว์จึงแสดงธรรมแก่พระราชา ด้วยคาถาว่าด้วยการประพฤติธรรม ๑๐ ประการ อันมาในเตสกุณชาดก มีอาทิว่า
“ข้าแต่มหาราชผู้บรมกษัตริย์ พระองค์จงประพฤติธรรมในพระชนกและชนนี ดังนี้” แล้วทูลว่า “ข้าแต่มหาราช จำเดิมแต่นี้ไป พระองค์จงเป็นผู้ไม่ประมาท แล้วให้พระราชาดำรงอยู่ในศีล ๕” จึงได้ถวายคืนเศวตฉัตรแด่พระราชา
พระราชาได้ทรงสดับธรรมกถาของพระมหาสัตว์แล้วทรงให้อภัยแก่สัตว์ทั้งปวง ทรงเริ่มตั้งนิตยภัตเช่นกับโภชนะของพระองค์แก่สุนัขทั้งปวงมีพระโพธิสัตว์เป็นต้น ทรงตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ทรงกระทำบุญ มีทานเป็นต้นตลอดชั่วพระชนมายุ สวรรคตแล้วเสด็จอุบัติในเทวโลก กุกกุโรวาทได้ดำเนินไปถึงหมื่นปี ฝ่ายพระโพธิสัตว์ดำรงอยู่ ตราบชั่วอายุแล้วได้ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่พระญาติทั้งหลายในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้ประพฤติแล้วเหมือนกัน” ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์
บริษัทที่เหลือนอกนี้ ได้เป็นพุทธบริษัท
ส่วนกุกกุรบัณฑิตคือเราแล.