ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๒. สีลวรรค
ลักขณชาดก
ว่าด้วยผู้มีศีล
พระศาสดาเมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยพระนครราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้ เรื่องพระเทวทัตจนถึงการประกอบ กรรมคือ การฆ่าอย่างหนัก จักมีแจ้งในกัณฑหาลชาดก เรื่องการปล่อยช้าง ธนปาลกะ จักมีแจ้งในจุลลหังสชาดก และการถูกแผ่นดินสูบ จักมีแจ้งใน สมุททพาณิชชาดก ในทวาทสนิบาต
สมัยหนึ่ง พระเทวทัตทูลขอวัตถุ ๕ ประการ เมื่อไม่ได้จึงทำลายสงฆ์ พาภิกษุ ๕๐๐ ไปอยู่ที่คยาสีสประเทศ ครั้งนั้นญาณของภิกษุเหล่านั้นได้ถึงความแก่กล้าแล้ว พระศาสดาทรงทราบดังนั้น จึงตรัสเรียกพระอัครสาวกทั้งสองมาว่า ดูก่อนสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุ ๕๐๐ ผู้เป็นนิสิตของพวกเธอ ชอบใจลัทธิของเทวทัตไปกับพระเทวทัตแล้ว ก็บัดนี้ญาณของภิกษุเหล่านั้นถึงความแก่กล้าแล้ว พวกเธอจงไปที่นั้นพร้อมกับภิกษุจำนวนมาก แสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น ให้ภิกษุเหล่านั้นตรัสรู้มรรคผลแล้วจงพามา
พระอัครสาวกทั้งสองนั้นจึงไปที่คยาสีสประเทศนั้นนั่นแหละ แสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้นให้ตรัสรู้ธรรมด้วยมรรคผลแล้ว วันรุ่งขึ้นเวลาอรุณขึ้น จึงพาภิกษุเหล่านั้นมายังพระเวฬุวันวิหารนั่นเทียว ก็แลในเวลาที่พระสารีบุตรเถระมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วยืนอยู่ ภิกษุทั้งหลายพากันสรรเสริญพระเถระ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเสนาบดี พี่ชายใหญ่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย อันภิกษุ ๕๐๐ แวดล้อมอยู่ งดงามเหลือเกิน ส่วนพระเทวทัตเป็นผู้มีบริวารเสื่อมแล้ว”
พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรอันหมู่ญาติแวดล้อมอยู่ จะงดงามแต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็งดงามเหมือนกัน ฝ่ายพระเทวทัตเสื่อมจากหมู่ญาติเฉพาะในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็เสื่อมมาแล้วเหมือนกัน”
ภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อให้ทรงประกาศเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงเรื่องไว้ให้ปรากฏ ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระเจ้ามคธพระองค์หนึ่ง ครองราชสมบัติในนครราชคฤห์ ในแคว้นมคธ ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในกำเนิดมฤคชาติ พอเติบโต มีเนื้อหนึ่งพันเป็นบริวารอยู่ในป่า พระโพธิสัตว์นั้นมี ลูก ๒ ตัว คือ ลักขณะ และ กาฬะ ในเวลาที่ตนแก่ พระโพธิสัตว์นั้นกล่าวว่า
“ลูกพ่อทั้งสอง บัดนี้ พ่อแก่แล้ว เจ้าทั้งสองจงปกครองหมู่เนื้อนี้” แล้วให้บุตรแต่ละคนรับมอบเนื้อคนละ ๕๐๐
ตั้งแต่นั้น เนื้อทั้งสองก็ปกครองหมู่เนื้อต่อจากบิดาไป ก็ในแคว้นมคธ ในสมัยนาข้าวเต็มไปด้วยข้าวกล้า อันตรายย่อมเกิดแก่เนื้อทั้งหลายในป่า เนื่องจากพวกมนุษย์ไล่ฆ่าพวกเนื้อที่มากินข้าวกล้า ได้ทำการขุดหลุมพรางปักขวาก ห้อยหินยนต์ [ฟ้าทับเหว] ดักบ่วงเป็นต้น พวกเนื้อเป็นอันมากพากันถึงความพินาศ พระโพธิสัตว์รู้คราวที่เต็ม ไปด้วยข้าวกล้า จึงให้เรียกลูกทั้งสองมากล่าวว่า
“พ่อทั้งสอง เวลานี้เป็นเวลาที่ท้องนาเต็มแน่นไปด้วยข้าวกล้า เนื้อเป็นอันมากพากันถึงความพินาศ เราแก่แล้ว จักยับยั้งอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง พวกเจ้าจงพาหมู่เนื้อของพวกเจ้า เข้าไปยังเชิงเขาในป่าในเวลาเขาถอนข้าวกล้าแล้วจึงค่อยมา”
บุตรทั้งสอง นั้นรับคำของบิดาแล้ว พร้อมด้วยบริวารพากันออกไป ก็พวกมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมรู้หนทางและเวลาที่พวกเนื้อเหล่านั้นไปและมาว่า ในเวลานี้ พวกเนื้อกำลังลงจาก ภูเขา ในเวลานี้กำลังขึ้นภูเขา มนุษย์เหล่านั้นจึงพากันนั่งในที่กำบัง ณ ที่นั้นในเวลานั้น แล้วซุ่มแทงเนื้อเป็นอันมากให้ตาย ฝ่ายเนื้อกาฬะ เพราะความที่ตัวโง่ จึงไม่รู้ว่าตอนนี้ควรไป จึงพาหมู่เนื้อไปทางประตูบ้าน ทั้งในเวลาเช้าและเวลาเย็น ทั้งเวลาพลบคํ่า และเวลาใกล้รุ่ง พวกมนุษย์ยืนและนั่งตามปรกตินั่นแล อยู่ใน ที่นั้น ๆ ยังเนื้อเป็นอันมากให้ถึงความพินาศ เนื้อกาฬะนั้นทำให้เนื้อผู้เป็นบริวารของตนเป็นอันมาก ถึงความพินาศ เพราะความที่ตนเป็นผู้โง่เขลาอย่างนี้ จึงเข้าป่าด้วยเนื้อที่เหลืออยู่น้อยเท่านั้น
ส่วนเนื้อลักขณะเป็นบัณฑิตมีปัญญา ฉลาดในอุบายรู้ว่า เวลานี้ควรไป เนื้อลักขณะนั้นไม่ไปทางประตูบ้าน ไม่ไปเวลากลางวันบ้าง ไม่ไปเวลาพลบคํ่าบ้าง เวลาใกล้รุ่งบ้าง พาหมู่เนื้อไปเวลาเที่ยงคืนเท่านั้น เพราะฉะนั้น เนื้อลักขณะจึงไม่ทำเนื้อแม้ตัวหนึ่งให้พินาศ
เนื้อเหล่านั้นอยู่ในป่านั้น ๕ เดือน เมื่อพวกมนุษย์ถอนข้าวกล้าแล้วจึงพากันลงจากภูเขา เนื้อกาฬะแม้ไปภายหลังก็ทำเนื้อทั้งหมดให้ถึงความพินาศ ตามที่กล่าวโดยนัยก่อนนั่นแหละ คงเหลือตนผู้เดียวเท่านั้นมายังสำนักของบิดามารดา ส่วนเนื้อลักขณะนั้น เนื้อผู้เป็นบริวารแม้สักตัวเดียวก็ไม่สูญไป ตนและเนื้อ ๕๐๐ ตัวผู้เป็นบริวารจึงมายังสำนักของบิดามารดา ฝ่ายพระโพธิสัตว์เห็นบุตรทั้งสองมา เมื่อปรึกษาหารือกับนางเนื้อ จึงกล่าวว่า
“เธอจงดูบุตรของตนผู้สมบูรณ์ด้วยอาจาระและปฏิสันถาร ไม่ทำแม้เนื้อตัวหนึ่งให้พินาศอันหมู่ญาติห้อมล้อมมาอยู่ แต่เออ ก็เธอ จงดูเนื้อชื่อกาฬะนี้ ผู้มีปัญญาเขลา ผู้ละเว้นจากสัมปทา คือ อาจาระและ ปฏิสันถาร ผู้เสื่อมจากญาติทั้งหลาย ไม่เหลือญาติแม้สักตัวมาแต่ผู้เดียว.”
ก็พระโพธิสัตว์ชื่นชมบุตรอย่างนี้แล้ว ดำรงอยู่ชั่วอายุ ได้ไปตามยถากรรมแล้ว.
พระศาสดาตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรอันหมู่ญาติห้อม ล้อม ย่อมงดงามในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็งดงามเหมือนกัน พระเทวทัตเสื่อมจากหมู่คณะในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็เสื่อม แล้วเหมือนกัน”
ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว แล้วทรงประชุมชาดกว่า
เนื้อกาฬะในครั้งนั้น ได้เป็นเทวทัต
แม้บริษัทของเนื้อกาฬะนั้น ในกาลนั้น ได้เป็นบริษัทของพระเทวทัต
เนื้อชื่อลักขณะในกาลนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร
แม้บริษัทของเนื้อลักขณะในกาลนั้น ได้เป็นพุทธบริษัท
มารดาในครั้งนั้น ได้เป็นพระมารดาของพระราหุล
ส่วนบิดาในครั้งนั้น ได้เป็นเราแล.
พระคาถาประจำชาดก
ความเจริญย่อมมีแก่ชนทั้งหลายผู้มีศีล ประพฤติในปฏิสันถาร ท่านจงดูลูกเนื้อชื่อลักขณะ ผู้อันหมู่แห่งญาติแวดล้อมกลับมาอยู่ อนึ่ง ท่านจงดูลูกเนื้อชื่อกาฬะนี้ ผู้เสื่อมจากพวกญาติ กลับมาแต่ผู้เดียว