ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๕. กกัณฏกวรรค
บุปผรัตตชาดก
เป็นทุกข์เพราะภรรยาไม่ได้ผ้าย้อมดอกคำ
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความโดยย่อว่า ภิกษุนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุ เขาว่า เธอกระสันจริงหรือ" กราบทูลว่า "จริงพระเจ้าข้า" ตรัสถามว่า "กระสันเพราะเหตุไร" กราบทูลว่า "เพราะภรรยาเก่าพระเจ้าข้า" แล้วกราบทูลต่อไปว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญิงนั้นมีรสมืออร่อย ข้าพระองค์ไม่อาจจะพรากจากกันได้ พระเจ้าข้า" ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า "ดูก่อนภิกษุ หญิงนี้เป็นผู้ทำความพินาศให้แก่เธอ แม้ในปางก่อน เพราะหญิงนั้นเป็นเหตุ เธอก็ต้องถูกเสียบบนหลาว คร่ำครวญถึงแต่นางเท่านั้น ครั้นตายแล้วไปบังเกิดในนรก บัดนี้ เพราะเหตุไร เธอ ยังปรารถนานางอีกเล่า" ดังนี้แล้ว ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอากาสัฏฐเทวดา ครั้งนั้นในพระนครพาราณสี มีมหรสพกลางคืนวันเพ็ญ กลางเดือน ๑๒ ผู้คนพากันตกแต่งบ้านเมืองสวยงามราวกับเทพนคร คนทั้งปวงมุ่งแต่จะเล่นมหรสพ แต่มีคนเข็ญใจผู้หนึ่ง มีผ้าเนื้อแน่นอยู่คู่เดียวเท่านั้น เขาเอามาซักให้สะอาด ฟาดลง เลยขาดเป็นริ้วเป็นรอยนับร้อยนับพัน ครั้งนั้นภรรยาพูดกะเขา ว่า "นาย ฉันอยากจะนุ่งผ้าย้อมดอกคำสักผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง แล้วกอดคอท่านเที่ยวตลอดงานประจำราตรีเดือนกัตติกะนี้" เขากล่าวว่า "นางผู้เจริญ เราเข็ญใจจะมีผ้าย้อมดอกคำได้ที่ไหน เธอจงนุ่งผ้าขาวเที่ยวเล่นเถิด" นางกล่าวว่า "เมื่อไม่ได้ผ้าย้อมดอกคำ ฉันจักไม่เล่นกีฬาในงานมหรสพละ เธอพาหญิงอื่นเล่นกีฬาเถิด" เขากล่าวว่า "นางผู้เจริญ ใยจึงคาดคั้นฉันนักเล่า เราจักได้ผ้าย้อมดอกคำมาจากไหน" นางกล่าวว่า "เมื่อความปรารถนาของลูกผู้ชายมีอยู่ มีหรือจะชื่อว่าไม่สำเร็จ ดอกคำในไร่ดอกคำของพระราชามีมากมิใช่หรือ" เขากล่าวว่า "นางผู้เจริญ ที่นั่นมีการป้องกันแข็งแรงเช่นเดียวกับโบกขรณีที่รากษสคุ้มครอง เราไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ดอก เธออย่าชอบใจมันเลย จงยินดีตามที่ได้มาเท่านั้นเถิด" นางกล่าวว่า "นาย เมื่อความมืดในยามรัตติกาลมีอยู่ ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่ลูกผู้ชายจะไปไม่ได้ไม่มีเลย" เทวดาผู้เที่ยวไปในอากาศผู้หนึ่งเห็นภัยในอนาคตของเขา ช่วยห้ามเขาไว้.
แต่เมื่อนางพูดเซ้าซี้อยู่บ่อย ๆ อย่างนี้ เขาก็เชื่อถือถ้อยคำของนางด้วยอำนาจกิเลส ปลอบนางว่า "นิ่งเสียเถิด นางผู้เจริญ อย่าคิดมากไปเลย" ครั้นถึงเวลากลางคืน ก็เสี่ยงชีวิตออกจากพระนคร ไปสู่ไร่ดอกดำของหลวง ปีนรั้วเข้าไปในไร่ พวกคนเฝ้าไร่ได้ยินเสียงปีนรั้ว ต่างร้องว่า ขโมย ขโมย แล้วล้อมจับได้ ช่วยกันด่า รุมกันซ้อม มัดไว้ ครั้นสว่างแล้ว ก็พาไปมอบพระราชา พระราชารับสั่งว่า "ไปเถิดพวกเจ้าจงเอามันไปเสียบเสียที่หลาว" คนเหล่านั้น มัดเขาไพล่หลัง พาออกจากเมือง โดยมีคนตีกลองประกาศโทษประหารตามไปด้วย แล้วเอาไปเสียบที่หลาว เขาเสวยเวทนาแสนสาหัส ฝูงกาพากันไปเกาะที่ศีรษะ จิกนัยน์ตาด้วยจะงอยปากอันคมเหมือนปลายคีม เขาไม่ได้ใส่ใจทุกข์แม้จะสาหัสเพียงนั้น คิดถึงแต่หญิงนั้นถ่ายเดียว รำพึงว่า เราพลาดโอกาสจากงานประจำราตรีในเดือนกัตติกะ กับนางผู้นุ่งผ้าย้อมด้วยดอกคำ แล้วใช้แขนทั้งคู่โอบกอดรอบคอ คลอเคลียกัน แล้วกล่าวคาถานี้ความว่า :
"ที่เราถูกหลาวเสียบนี้ ก็ไม่เป็นทุกข์
ที่ถูกกาจิกเล่า ก็ไม่ทุกข์
เราทุกข์อยู่แต่ว่า
นางผิวทองจักไม่ได้นุ่งห่มผ้าย้อมดอกคำ
เที่ยวงานประจำราตรีแห่งเดือนกัตติกะ" ดังนี้.
เขาเอาแต่พร่ำเพ้อ บ่นถึงมาตุคามนั้น อยู่อย่างนี้เท่านั้น จนตายไปเกิดในนรก.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
คู่สามีภรรยาในครั้งนั้น ได้มาเป็นคู่สามีภรรยาในครั้งนี้
ส่วนอากาสัฏฐเทวดา ผู้ยืนประกาศทำเหตุนั้นให้ประจักษ์ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ ปุปผรัตตชาดก