พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

 

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๙. อปายิมหวรรค

มังคลชาดก

ว่าด้วยถือมงคลตื่นข่าว

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพราหมณ์ผู้รู้จักลักษณะผ้าสาฎกผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ได้ยินว่า พราหมณ์ชาวพระนครราชคฤห์ผู้หนึ่ง เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นมิจฉาทิฏฐิ มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก หนูกัดผ้าสาฎกคู่หนึ่งที่เขาเก็บไว้ในหีบ ครั้นถึงเวลาที่เขาสนานเกล้า กล่าวว่า จงนำผ้าสาฎกมา คนทั้งหลายจึงบอกเขาเรื่องที่หนูกัดผ้า เขาคิดว่า ผ้าสาฎกทั้งคู่ที่ถูกหนูกัดนี้เป็นอวมงคล ถ้าเก็บในเรือนนี้ละก็ ความพินาศอย่างใหญ่หลวงจักเกิดขึ้น เช่นกับตัวกาฬกรรณี ทั้งไม่อาจให้แก่บุตรธิดา หรือทาสกรรมกร เพราะความพินาศอย่างใหญ่หลวงจักต้องมีแก่ผู้ที่รับผ้านี้ไปทุกคน ต้องให้ทิ้งมันเสียที่ป่าช้าผีดิบ แต่ไม่กล้าให้ในมือพวกทาสเป็นต้น เพราะพวกนั้นน่าจะเกิดโลภในผ้าคู่นี้ ถือเอาไปแล้วถึงความพินาศไปตาม ๆ กันได้ เราจักให้ลูกถือผ้าคู่นั้นไป

เขาเรียกบุตรมาบอกเรื่องราวนั้นแล้วใช้ไปด้วยคำว่า “พ่อคุณ ถึงตัวเจ้าเอง ก็ต้องไม่เอามือจับมัน จงเอาท่อนไม้คอนไปทิ้งเสียที่ป่าช้าผีดิบ อาบน้ำดำเกล้าแล้วกลับมาเถิด”

ในวันนั้น เวลาใกล้รุ่ง พระบรมศาสดาทรงตรวจพวกเวไนยสัตว์ เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของพ่อลูกคู่นี้ ก็เสด็จไปเหมือนพรานเนื้อตามรอยเนื้อฉะนั้น ได้ประทับยืน ณ ประตูป่าช้าผีดิบ ทรงเปล่งพระพุทธรังสี ๖ ประการอยู่ แม้มาณพรับคำบิดาแล้ว คอนผ้าคู่นั้นด้วยปลายไม้เท้าเหมือนคอนงูเขียว เดินไปถึงประตูป่าช้าผีดิบ ลำดับนั้นพระศาสดารับสั่งกะเขาว่า “มาณพ เจ้าทำอะไร”  มาณพกราบทูลว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ผ้าคู่นี้ถูกหนูกัด เป็นเช่นเดียวกับตัวกาฬกรรณี เปรียบด้วยยาพิษที่ร้ายแรง บิดาของข้าพระองค์เกรงว่า เมื่อผู้ทิ้งมันเป็นคนอื่น น่าจะเกิดความโลภขึ้น แล้วเอาไปใช้ จึงให้ข้าพระองค์นำมันมาทิ้งเสีย”

พระศาสดาตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็จงทิ้งเถิด มาณพ จึงทิ้งผ้านั้นไปเสีย” พระศาสดาตรัสว่า “คราวนี้สมควรแก่เราตถาคต” ดังนี้แล้ว ทรงถือเอาต่อหน้ามาณพนั้นทีเดียว ทั้ง ๆ ที่มาณพนั้น ห้ามอยู่ว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ นั่นเป็นอวมงคลเหมือนตัวกาฬกรรณีอย่าจับ อย่าจับเลย” พระศาสดาก็ทรงถือเอาผ้าคู่นั้น เสด็จผันพระพักตร์มุ่งหน้าตรงไปพระเวฬุวัน มาณพรีบไปบอกแก่พราหมณ์ผู้บิดาว่า คุณพ่อครับ คู่ผ้าสาฎกที่ผมเอาไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบนั้น พระสมณโคดมตรัสว่า “ควรแก่เรา” ทั้ง ๆ ที่ผมห้ามปราม ก็ทรงถือเอาแล้วเสด็จไปสู่พระเวฬุวัน

พราหมณ์ผู้บิดาว่าถึงพระสมณ โคดมทรงใช้สอยมัน ก็ต้องย่อยยับ แม้พระวิหารก็จักพินาศ ทีนั้นพวกเราจักต้องถูกครหา เราต้องถวายผ้าสาฎกอื่น ๆ มากผืนแด่พระสมณโคดม ให้พระองค์ทรงทิ้งผ้านั้นเสีย เขาจึงให้คน ถือผ้าสาฎกหลายผืน ไปสู่พระวิหารเวฬุวันกับบุตร ถวายบังคมพระศาสดา แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลอย่างนี้ว่า “ข้าแต่พระสมณโคดม ได้ยินว่าพระองค์ทรงถือเอาผ้าสาฎกคู่หนึ่งในป่าช้าผีดิบ จริงหรือพระเจ้าข้า”

ตรัสว่า “จริง”

พราหมณ์กราบทูลว่า “ข้าแต่พระสมณโคดม ผ้าสาฎกคู่นั้นเป็นอวมงคล เมื่อพระองค์ทรงใช้สอยมันจะต้องย่อยยับ ถึงพระวิหารทั้งสิ้นก็จักต้องทำลาย ถ้าผ้านุ่ง ผ้าห่มของพระองค์มีไม่พอ พระองค์โปรดรับผ้าสาฎกเหล่านี้ไว้ ทิ้งคู่ผ้าสาฎกนั้นเสียเถิด”

ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสกะเขาว่า “พราหมณ์ พวกเรามีนามว่าบรรพชิต ผ้าเก่า ๆ ที่เขาทิ้ง หรือตกอยู่ในที่เช่นนั้น คือที่ป่าช้าผีดิบ ที่ท้องถนน ที่กองขยะ ที่ท่าอาบน้ำ ที่หนทางหลวง ย่อมควรแก่พวกเรา ส่วนท่านเองมิใช่แต่จะเพิ่งเป็นคนมีลัทธิอย่างนี้ในบัดนี้ เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน ก็เคยมีลัทธิอย่างนี้เหมือนกัน” ครั้นเมื่อเขากราบทูล อาราธนาจึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล พระเจ้ามคธราชผู้ทรงธรรม เสวยราชสมบัติ ในพระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เกิดใน สกุลอุทิจจพราหมณ์ สกุลหนึ่ง ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว บวชเป็น ฤๅษียังอภิญญา และสมาบัติให้เกิดแล้ว พำนักอยู่ในป่าหิมพานต์

ในกาลครั้งหนึ่ง ออกจากป่าหิมพานต์มาถึงพระราชอุทยาน ในพระนครราชคฤห์ พำนักอยู่ที่นั้น วันที่สองเข้าสู่พระนคร เพื่อต้องการภิกขาจาร พระราชาทอดพระเนตรเห็นท่านแล้ว รับสั่งให้นิมนต์มา อาราธนาให้นั่งในปราสาท ให้ฉันโภชนาหาร แล้วทรงอาราธนาพระฤๅษีให้อยู่ในพระอุทยานตลอดไป พระโพธิสัตว์ฉันในพระราชนิเวศน์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน

กาลครั้งนั้น ในพระนครราชคฤห์ ได้มีพราหมณ์ชื่อว่าทุสสลักขณพราหมณ์ (พราหมณ์ผู้รู้ลักษณะผ้า) เรื่องทั้งปวงตั้งแต่ เขาเก็บคู่ผ้าสาฎกไว้ในหีบเป็นต้นไปเช่นเดียวกันกับเรื่องก่อน นั่นแหละ (แปลกแต่ตอนหนึ่ง) เมื่อมาณพไปถึงป่าช้า พระโพธิสัตว์ไปคอยอยู่ก่อนแล้ว นั่งอยู่ที่ประตูป่าช้า เก็บเอาคู่ผ้าที่เขาทิ้ง แล้วไปสู่อุทยาน มาณพไปบอกแก่บิดา บิดาคิดว่า ดาบสผู้ใกล้ชิดราชสกุลจะพึงฉิบหาย จึงไปสำนักพระโพธิสัตว์ กล่าวว่า “ข้าแต่พระดาบส ท่านจงทิ้งผ้าสาฎกที่ท่านถือเอาแล้วเสียเถิด จงอย่าฉิบหายเสียเลย”

พระดาบสแสดงธรรมแก่พราหมณ์ว่า “ผ้าเก่า ๆที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ควรแก่พวกเรา พวกเรามิใช่พวกถือ มงคลตื่นข่าว ขึ้นชื่อว่าการถือมงคลตื่นข่าวนี้ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่สรรเสริญเลย เหตุนั้น บัณฑิตต้องไม่เป็นคนถือมงคลตื่นข่าว” พราหมณ์ฟังธรรม แล้วทำลายทิฏฐิเสีย ถือเอาพระโพธิสัตว์เป็นสรณะแล้ว แม้พระโพธิสัตว์ก็มีฌานมิได้เสื่อม ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปใน เบื้องหน้า แม้พระบรมศาสดาทรงนำเรื่องอดีตนี้มาแล้ว ครั้นตรัสรู้พระสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์ ตรัสพระคาถานี้ ความว่า :

"ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกาบาต

ไม่ถือความฝัน ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว

ผู้นั้นชื่อว่า ล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าว

ครอบงำกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพที่เป็นคูกั้น

ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก" ดังนี้.

อธิบายว่า

มงคลเหล่านี้คือ ทิฏฐิมงคล มงคลที่เกิดเพราะสิ่งที่เห็น ๑ สุตมงคล มงคลที่เกิดเพราะเรื่องที่ฟัง ๑ มุตมงคล มงคลที่เกิดเพราะอารมณ์ที่ได้ทราบ ๑ อันพระอรหันตขีณาสพใดถอนขึ้นได้แล้ว.ท่านผู้นั้นเป็นภิกษุ ผู้ขีณาสพ ล่วงพ้น ก้าวผ่าน ละเสียได้ซึ่งโทษแห่งมงคลทุกอย่าง.

กิเลสที่มารวม กันเป็นคู่ ๆ โดยนัยมีอาทิว่า โกธะความโกรธ และอุปนาหะ ความผูกโกรธ มักขะความลบหลู่ และปลาสะความตีเสมอดังนี้ ชื่อว่ายุคะ กิเลส ๔ อย่างเหล่านี้ คือ กามโยคะ ภวโยคะ ทิฏฐิโยคะ อวิชชาโยคะ ชื่อว่า โยคะ เพราะเป็นเหตุประกอบสัตว์ไว้ในสงสาร

ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพ บรรลุแล้วคือ ครอบงำไว้ได้แล้ว ล่วงพ้นแล้ว ซึ่งยุคและโยคะเหล่านั้น.ท่านผู้นั้นย่อมไม่ต้องมาสู่โลกนี้ใหม่ โดยแน่นอนทีเดียว.

พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พราหมณ์ด้วยพระคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจจะ พราหมณ์กับบุตร ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า

บิดาและบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นบิดาและบุตรคู่นี้แหละ

ส่วนดาบสได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ มังคลชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ