พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๗. อิตถีวรรค

ตักกชาดก

ว่าด้วยธรรมดาหญิง

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันนั่นแหละตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

พระศาสดาตรัสถามว่า จริงหรือภิกษุที่เขาว่า เธอกระสันแล้ว  เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสว่า ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย เป็นคนอกตัญญู ประทุษร้ายมิตร เหตุไรเธอจึงกระสันเพราะอาศัยหญิงเหล่านั้น แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤๅษี สร้างอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ยังสมาบัติและอภิญญาให้เกิดแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่ความยินดีในฌาน ในสมัยนั้น ธิดาของท่านเศรษฐีในกรุงพาราณสี ชื่อว่าทุษฐกุมารีเป็นหญิงดุร้าย หยาบคาย มักด่า มักตี ทาส และกรรมกร

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง คนที่เป็นบริวารชวนนางไปว่า จักเล่นน้ำในแม่น้ำคงคา ขณะเมื่อมนุษย์เหล่านั้นเล่นน้ำกันอยู่นั่นแหละ เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้จะอัษฎงค์ เมฆฝนก็ตั้งเค้าขึ้น พวกมนุษย์ทั้งหลายเห็นเมฆฝนแล้ว ก็รีบวิ่งแยกย้ายกันไป พวกทาสกรรมกรของธิดาท่านเศรษฐีพูดกันว่า วันนี้พวกเราควรแก้เผ็ดนางตัวร้ายนี้ แล้วทิ้งนางไว้ในน้ำนั่นแล พากันขึ้นไปเสีย

ฝนก็ตกลงมา ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้วเกิดความมืดมัวทั่วไป พวกทาสและกรรมกรเหล่านั้นกลับไปถึงเรือนโดยไม่มีธิดาท่านเศรษฐีกลับมาด้วย เมื่อคนทั้งหลายถามว่า ธิดาท่านเศรษฐีไปไหนเล่า  ก็กล่าวว่า นางขึ้นจากแม่น้ำคงคาก่อนหน้าแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกข้าพเจ้าจึงไม่รู้ว่านางไปไหน แม้พวกญาติพากันค้นหาก็ไม่พบ.

ธิดาท่านเศรษฐีร้องดังลั่น ลอยไปตามน้ำ ถึงที่ใกล้บรรณศาลาของพระโพธิสัตว์ เมื่อเวลาเที่ยงคืน พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงของนางก็คิดว่า นั่นเสียงหญิง ต้องช่วยเหลือนาง พลางถือคบไฟเดินไปสู่ฝั่งแม่น้ำ เห็นนางแล้ว ก็ปลอบว่า อย่ากลัว อย่ากลัว ด้วยกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรงของพระโพธิสัตว์ ท่านก็ได้ว่ายน้ำไปช่วยนางขึ้นได้ พาไปอาศรม ก่อไฟให้นางผิง ครั้นนางค่อยคลายความหนาวแล้ว ก็จัดหาผลไม้น้อยใหญ่ที่อร่อย ๆ มาให้ พลางถามนางขณะที่บริโภคผลไม้นั้น ๆ ว่า นางอยู่ที่ไหน และทำไมถึงตกน้ำลอยมา นางก็เล่าเรื่องราวนั้นให้ฟัง

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์กล่าวกะนางว่า เธอพักเสียที่นี่แหละ แล้วจัดให้นางพักในบรรณศาลา ตนพักอยู่กลางแจ้ง สองสามวันต่อมาก็กล่าวว่า บัดนี้ เธอจงไปเถิด เศรษฐีธิดาคิดว่า เราจักทำดาบสนี้ถึง สีสเภท (แตกในศีล) แล้วชวนไปด้วยให้จงได้ ดังนี้แล้วไม่ยอมไป

ครั้นเวลาล่วงผ่านไป ก็แสดงกระบิดกระบวนเล่ห์มายาหญิง จนทำให้พระดาบสศีลขาด เสื่อมจากฌาน ดาบสก็ชวนนางอยู่ในป่านั่นเอง ครั้งนั้น นางกล่าวกะดาบสว่า ข้าแต่ท่านเจ้า เราทั้งสองจักอยู่ในป่าทำไม เราสองคนพากันไปสู่ย่านมนุษย์เถิด ดาบสก็พานางไปถึงบ้านชายแดนตำบลหนึ่ง แล้วประกอบอาชีพด้วยการขายเปรียง เลี้ยงนาง เพราะท่านดาบสขายเปรียงเลี้ยงชีวิต ฝูงชนจึงขนานนาม ว่า ตักกบัณฑิต ครั้งนั้น พวกชาวบ้านร่วมกันให้เสบียงอาหารแก่ท่านกล่าวว่า ท่านช่วยบอกเหตุการณ์ที่บุคคลประกอบ ดีหรือชั่วแก่พวกข้าพเจ้า ท่านจงอยู่เสียในที่นี้เถิด แล้วพวกชาวบ้านก็ช่วยกันสร้างกระท่อมให้อยู่ใกล้ทางเข้าหมู่บ้าน.

ก็โดยสมัยนั้น พวกโจรพากันลงมาจากภูเขา ปล้นชนบทชายแดน วันหนึ่งพากันมาปล้นหมู่บ้านนั้น แล้วใช้ชาวชนบทนั้นแหละให้ขนข้าวของไปให้ ยึดเอาตัวนางเศรษฐีธิดานั้นไปยังที่พำนักของตน แล้วจึงปล่อยคนที่เหลือ ส่วนนายโจรพอใจในรูปของนาง จึงทำนางให้เป็นภรรยาของตน พระโพธิสัตว์สอบถามว่า หญิงชื่อนี้ไปไหนเสียเล่า  แม้จะได้ฟังว่า ถูกนายโจรยึดเอาไว้เป็นภรรยาเสียแล้ว ก็ยังคิดว่า นางจักยังไม่ทิ้งเรา อยู่ในที่นั้น จักต้องหนีมาเป็นแน่ รอคอยนางอยู่ในบ้านนั่นเอง ฝ่ายนางเศรษฐีธิดา ก็คิดว่า เราอยู่ที่นี่เป็นสุขดี บางที ตักกบัณฑิตอาศัยเหตุไร ๆ แล้ว จะมาพาเราไปเสียจากที่นี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจักเสื่อมจากความสุขนี้ ถ้ากระไร เราทำเป็น เหมือนยังอาลัยรักอยู่ ให้คนไปตามตัวมาแล้วให้เขาฆ่าเสีย

คิดแล้ว เรียกมนุษย์ผู้หนึ่งมาส่งข่าวไปว่า ดิฉันเป็นอยู่อย่างลำบากในที่นี้ ท่านตักกบัณฑิตกรุณามารับฉันไปด้วยเถิด ตักกบัณฑิต สดับข่าวนั้นแล้วก็เชื่อ จึงไปที่บ้านนายโจร หยุดรอที่ประตูบ้าน ส่งข่าวไป นางออกมาพบ แล้วพูดว่า ท่านเจ้าขา ถ้าเราพากันไปเดี๋ยวนี้ นายโจรจักติดตามฆ่าเราทั้งสองเสียก็ได้ เราจักไปกันในเวลากลางคืน แล้วก็พาตักกบัณฑิตมาให้บริโภค ให้ซ่อนตัวอยู่ในยุ้ง ตกเวลาเย็น นายโจรกลับมา กินเหล้าเมา นางก็พูดว่า ท่านเจ้าคะ ถ้านายเห็นศัตรูของนายในเวลานี้ นายจะพึงทำอย่างไรกะเขา นายโจรกล่าวว่าเราจักกระทำเช่นนี้ ๆ นางจึงบอกว่า ก็ศัตรูนั้นอยู่ไกลเสียเมื่อไรเล่า นั่งอยู่ในยุ้งข้าวนี่เอง

นายโจร ถือพระขรรค์เดินไปที่ยุ้งข้าว เห็นตักกบัณฑิตก็จับเหวี่ยงให้ล้มลงกลางเรือน โบยด้วยท่อนไม้ ทุบถองด้วยศอกเข่าเป็นต้น จนหนำใจ ตักกบัณฑิตถึงจะถูกโบยก็ไม่พูดถ้อยคำอะไรอย่างอื่นเลย กล่าวแต่คำว่า ขี้โกรธ อกตัญญู ชอบส่อเสียด ประทุษร้ายมิตร อย่างเดียวเท่านั้น

ฝ่ายโจรโบยตักกบัณฑิตแล้วก็มัดให้นอน มากินอาหารเย็นแล้วก็หลับไปตื่นขึ้น พอฤทธิ์สุราสร่าง ก็เริ่ม โบยตักกบัณฑิตอีก แม้ตักกบัณฑิต ก็กล่าวแต่คำ ๔ คำ อยู่อย่างนั้น โจรคิดว่า ท่านผู้นี้ แม้จะถูกเราโบยอย่างนี้ ก็ไม่ยอมพูดอะไรอย่างอื่นเลย คงกล่าวแต่คำ๔ คำ อยู่ตลอดมา เราจักถามดู แล้วก็ถามตักกบัณฑิตว่า นี่แน่ะท่านผู้เจริญ ถึงแม้ท่านจะถูกโบยอย่างนี้ เหตุไฉนจึงกล่าวแต่คำ ๔ คำ เหล่านี้เท่านั้น

ตักกบัณฑิตกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงฟังเรากล่าว แล้วก็เล่าลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นว่า เดิมข้าพเจ้าเป็นดาบสผู้หนึ่งอยู่ในป่า ได้ฌาน ข้าพเจ้าช่วยหญิงผู้นี้ผู้ลอยมาในแม่น้ำคงคาให้ขึ้นได้แล้ว ประคบประหงม เมื่อเป็นเช่นนี้ นางผู้นี้ก็เล้าโลมข้าพเจ้า ทำให้เสื่อมจากฌาน ข้าพเจ้าต้องทิ้งป่าพานางมาเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านชายแดน ครั้นนางส่งข่าวไปถึงข้าพเจ้าว่า ถูกพวกโจรนำมาที่นี่ ต้องอยู่อย่างลำบาก ให้ช่วยพานางกลับไป ทำให้ข้าพเจ้าต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของท่านในบัดนี้ ด้วยเหตุนั้นข้าพเจ้าจึงกล่าวอยู่อย่างนี้.

โจรได้คิดว่า หญิงคนนี้ปฏิบัติผิดถึงอย่างนี้ ในท่านผู้สมบูรณ์ด้วยคุณ มีอุปการะถึงอย่างนี้มันคงทำอุปัทวันตรายอะไร ๆ ให้แก่เราก็ได้ ต้องฆ่ามันเสีย นายโจรปลอบให้ตักกบัณฑิตเบาใจ ปลุกนางฉวยพระขรรค์ออกมาพูดว่า เราจักฆ่าชายผู้นี้ที่ประตูบ้าน เดินไปนอกบ้านกับนาง พลางบอกให้นางจับมือท่านตักกบัณฑิตไว้ด้วยคำว่า จงยึดมือชายผู้นี้ไว้ แล้วชักพระขรรค์ ทำเป็นเหมือนจะฟันท่านตักกบัณฑิต แล้วกลับฟันนางขาด ๒ ท่อน แล้วพาท่านตักกบัณฑิตให้อาบน้ำดำเกล้าแล้ว เลี้ยงดูท่านตักกบัณฑิตด้วยโภชนะอันประณีต สองสามวันต่อมา ก็กล่าวว่า บัดนี้ท่านจักไปไหนต่อไปเล่า  ตักกบัณฑิตกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่ากิจด้วยการอยู่ครองเรือนไม่มีแก่ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักบวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่านั่นแหละ โจรกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จักบวชด้วย ทั้งสองคนพากันบวช ไปสู่ราวป่านั้น ให้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ เกิดได้แล้ว ในเวลาสิ้นชีวิต ก็ได้ไปสู่พรหมโลก.

พระบรมศาสดาตรัสเรื่องเหล่านี้แล้ว แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ ความว่า

"หญิงทั้งหลาย เป็นผู้มักโกรธ อกตัญญู

มักส่อเสียด และคอยแต่ทำลาย

ดูก่อนภิกษุ เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด

แล้วเธอจักไม่คลาดความสุขเป็นแน่" ดังนี้.

พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัส ประกาศสัจจะทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสัน ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว แม้พระบรมศาสดา ก็ทรงประชุมชาดกว่า

นายโจรในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ ในครั้งนี้

ส่วนตักกบัณฑิตได้มาเป็น เราตถาคตฉะนี้แล.

จบ ตักกชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ