ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๓. กุรุงควรรค
โภชาชานียชาดก
ว่าด้วยม้าสินธพอาชาไนย
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ละความเพียรรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า สมัยนั้น พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายแม้ในกาลก่อน ได้กระทำความเพียรแม้ในที่อันมิใช่ที่อยู่ แม้ได้รับบาดเจ็บก็ไม่ละความเพียร ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีต นิทานมาว่า
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลม้าสินธพชื่อ โภชาชานียะ สมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ได้เป็นม้ามงคลของพระเจ้าพาราณสี พระโพธิสัตว์นั้นบริโภคโภชนะ ข้าวสาลีมีกลิ่นหอมอันเก็บไว้ ๓ ปี ถึงพร้อมด้วยรสเลิศต่าง ๆ ในถาดทองอันมีราคาแสนหนึ่ง ยืนอยู่ในภาคพื้นอันไล้ทาด้วยของหอมมีกำเนิด ๔ ประการ เท่านั้น สถานที่ยืนนั้นวงด้วยม่านผ้ากัมพลแดง เบื้องบนดาดเพดานผ้าอันวิจิตรด้วยดาวทอง ห้อยพวงของหอมและพวงดอกไม้ ตามประทีปนํ้าหอม ก็ขึ้นชื่อว่าพระราชาทั้งหลายผู้ไม่ปรารถนาราชสมบัติในนครพาราณสี ย่อมไม่มี
คราวหนึ่ง พระราชา ๗ พระองค์พากันล้อมนครพาราณสี ทรงส่งหนังสือแก่พระเจ้าพาราณสีว่า จะให้ราชสมบัติแก่เราทั้งหลายหรือจะรบ พระเจ้าพาราณสีให้ประชุมอำมาตย์ทั้งหลายแล้วตรัสบอกข่าวนั้น แล้วตรัสถามว่า “ดูก่อนพ่อทั้งหลาย บัดนี้ พวกเราจะกระทำอย่างไร ?”
อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า “ข้าแต่ สมมติเทพ เบื้องต้นพระองค์ยังไม่ต้องออกรบก่อน พระองค์จงส่งทหารม้าให้กระทำการรบ เมื่อทหารม้านั้นไม่สามารถรบชนะ ข้าพระบาททั้งหลายจักสู้ในภายหลัง”
พระราชารับสั่งให้เรียกทหารม้านั้นมาแล้วตรัสว่า “ดูก่อนพ่อ เธอ จักอาจกระทำการรบกับพระราชา ๗ องค์หรือไม่”
นายทหารม้ากราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าข้าพระบาทได้ม้าสินธพชื่อโภชาชานียะไซร้ พระราชา ๗ พระองค์จงยกไว้ ข้าพระบาทจักอาจรบกับพระราชาทั่วทั้งชมพูทวีป”
พระราชาตรัสว่า “ดูก่อนพ่อ ม้าสินธพโภชาชานียะ หรือม้าอื่นก็เอาเถิด”
นายทหารม้านั้น รับพระดำรัสแล้ว ถวายบังคมพระราชาลงจากปราสาท ให้นำม้าสินธพโภชาชานียะมา แล้วก็ผูกสอดเกราะทุกอย่าง เหน็บพระขรรค์ ขึ้นหลังม้าสินธพตัวประเสริฐ ออกจากพระนครไปประดุจฟ้าแลบ ทำลายกองพลที่ ๑ จับเป็นพระราชาได้องค์หนึ่ง พามามอบให้แก่พลในนครแล้วกลับไปอีก ทำลายกองพลที่ ๒ กองพลที่ ๓ ก็เหมือนกัน จับเป็นพระราชาได้ ๕ องค์ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ แล้วทำลายกองพลที่ ๖ ในคราวจับพระราชาองค์ที่ ๖ ม้าสินธพโภชาชานียะได้รับบาดเจ็ด เลือดไหล เวทนากล้า
นายทหารม้านั้นรู้ว่าม้าสินธพนั้นได้รับบาดเจ็บ จึงให้ม้าสินธพโภชาชานียะนอนที่ประตูพระราชวัง เริ่มทำเกราะให้หลวมเพื่อจะผูกเกราะม้าตัวอื่น
พระโพธิสัตว์ทั้งที่นอนทางข้าง ลืมตาขึ้นเห็นนายทหารม้าทำอย่างนั้นจึงคิดว่า นายทหารม้านี้จะหุ้มเกราะม้าตัวอื่น และม้าตัวนั้นจักไม่สามารถทำลายกองพลที่ ๗ จับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ และกรรมที่เราทำไว้แล้วจักพินาศหมด แม้นายทหารม้าซึ่งไม่มีผู้เปรียบก็จักพินาศ แม้พระราชาก็จักตกอยู่ในเงื้อมมือของพระราชาอื่น เว้นเราเสียม้าอื่นชื่อว่าสามารถเพื่อทำลายกองพลที่ ๗ แล้วจับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ย่อมไม่มี
ทั้ง ๆ ที่นอนอยู่นั่นแล ให้เรียกนายทหารม้ามาแล้วกล่าวว่า “ดูก่อนนายทหารม้าผู้สหาย เว้นเราเสีย ชื่อว่าม้าอื่นผู้สามารถเพื่อทำลายกองพลที่ ๗ แล้วจับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ย่อมไม่มี เราจักไม่ทำกรรมที่เรากระทำแล้วให้เสียหาย ท่านจงให้เราแลลุกขึ้นแล้วผูกเกราะเถิด” ครั้นกล่าวแล้วจึงกล่าวคาถานี้ว่า
“ม้าสินธพอาชาไนยถูกลูกศรแทงแล้ว
แม้นอนตะแคงอยู่ข้างเดียว ก็ยังประเสริฐกว่าม้ากระจอก
ดูก่อนนายสารถี ท่านจงประกอบฉันออกรบเถิด.”
นายทหารม้าพยุงพระโพธิสัตว์ให้ลุกขึ้น พันแผลแล้วผูกสอดเรียบร้อย นั่งบนหลังของพระโพธิสัตว์นั้น ทำลายกองพลทับที่ ๗ จับเป็นพระราชาองค์ที่ ๗ แล้วมอบให้แก่พลของพระราชา คนทั้งหลายนำพระโพธิสัตว์มายังประตูพระราชวัง พระราชาเสด็จออกเพื่อทอดพระเนตรพระโพธิสัตว์นั้น พระมหาสัตว์ทูลพระราชาว่า
“ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงฆ่าพระราชาทั้ง ๗ เลย จงให้กระทำสาบานแล้วปล่อยไป พระองค์จงประทานยศที่จะพึงประทานแก่ข้าพระบาทและนายทหารม้า ให้เฉพาะแก่นายทหารม้าเท่านั้น การจับพระราชา ๗ องค์ได้ แล้วทำทหารผู้กระทำการรบให้พินาศ ย่อมไม่ควร แม้พระองค์ก็จงทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีล ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม”
เมื่อพระโพธิสัตว์ให้โอวาทแก่พระราชาอย่างนี้แล้ว คนทั้งหลายจึงถอดเกราะของพระโพธิสัตว์ออก ทันทีที่เมื่อเกราะถูกถอดออกเท่านั้น พระโพธิสัตว์นั้นก็ดับชีพไป พระราชาทรงให้ทำฌาปนกิจสรีระของพระโพธิสัตว์นั้น ได้ประทานยศใหญ่แก่นายทหารม้า ทรงให้พระราชาทั้ง ๗ พระองค์ ทรงกระทำสาบานเพื่อไม่ประทุษร้ายพระองค์อีก แล้วทรงส่งกลับไปยังเมืองของตน ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม โดยสมํ่าเสมอ ในเวลาสุดสิ้นพระชนมายุ ได้เสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ได้กระทำความเพียรแม้ในที่อันมิใช่บ่อเกิดอย่างนี้ แม้ได้รับบาดเจ็บเช่นนั้น ก็ไม่ละความเพียร ส่วนเธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ เพราะเหตุไร จึงละความเพียรเสีย”
แล้วทรงประกาศสัจจะทั้ง ๔ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้ละความเพียรตั้งอยู่ในพระอรหัตผล ฝ่ายพระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์
นายทหารม้าในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร
ส่วนโภชาชานียสินธพในครั้งนั้น ได้เป็นเราแล.