พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

 

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๑๐. ลิตตวรรค

ปโรสหัสสชาดก

ว่าด้วยคนผู้มีปัญญา

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภปัญหาในปุถุชน มีบุคคลเป็นที่ ๕ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

เรื่องจักปรากฏชัดเจนในสรภังคชาดก ก็สมัยหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา นั่งสนทนากันถึงเรื่องคุณของพระเถระเจ้าว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร พยากรณ์ปัญหาที่พระทศพลตรัสโดยย่อได้โดยพิสดาร พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล ให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่สารีบุตรพยากรณ์ปัญหาที่เรากล่าวอย่างย่อได้โดยพิสดาร แม้ในกาลก่อน ก็พยากรณ์ได้แล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์เจริญวัยแล้ว เล่าเรียนสรรพศิลปวิทยา ในเมืองตักกสิลา ละกามทั้งหลาย แล้วบวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้เกิดได้แล้ว อยู่ในป่าหิมพานต์ แม้บริวารของท่านก็ได้บวชเป็นดาบส ๕๐๐ รูป คราวนั้นเป็นฤดูฝน อันเตวาสิกผู้ใหญ่ของท่าน พาคณะฤๅษีประมาณครึ่งหนึ่งไปสู่ถิ่นของมนุษย์ เพื่อต้องการรสเค็ม รสเปรี้ยว

ในกาลนั้น ประจวบเป็นสมัยที่พระโพธิสัตว์จะทำกาละ พวกอันเตวาสิกทั้งหลาย พากันถามการบรรลุคุณพิเศษกะท่านว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านได้คุณพิเศษชนิดไหน ท่านตอบว่า ไม่มีแม้แต่น้อย แล้วไปเกิดในพรหมโลกชั้นอาภัสสระ เพราะว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย แม้ถึงจะได้อรูปสมาบัติ ก็มิได้บังเกิดในอรูปภพ เป็นสถานที่อันมิบังควร พวกอันเตวาสิกคิดกันว่า ท่านอาจารย์ไม่มีคุณพิเศษเลย ดังนี้แล้ว ไม่กระทำสักการะในป่าช้า อันเตวาสิกผู้ใหญ่กลับมาแล้ว ถามว่า ท่านอาจารย์ไปไหน ครั้นทราบว่า ทำกาละเสียแล้ว จึงกล่าวว่า เออก็ พวกเธอถามถึงคุณพิเศษที่ท่านได้บรรลุกะท่านหรือเปล่า

พวกเราถามแล้ว ขอรับ.

ท่านตอบว่าอย่างไร

ท่านตอบว่า ไม่มีแม้แต่น้อย เหตุนั้นพวกเราจึงไม่ทำสักการะแก่ท่าน อันเตวาสิกผู้ใหญ่กล่าวว่า พวกเธอมิได้รู้ความหมายแห่งคำของอาจารย์ ท่านอาจารย์ได้อากิญจัญญายตนสมาบัติ แม้ถึงอันเตวาสิกผู้ใหญ่นั้น จะพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกอันเตวาสิกเหล่านั้นก็ไม่ยอมเชื่อ พระโพธิสัตว์ทราบเหตุนั้น ดำริว่า พวกอันธพาลไม่เชื่อถ้อยคำอันเตวาสิกผู้ใหญ่ของเรา เราต้องกระทำเหตุนี้ให้ปรากฏแก่อันเตวาสิกเหล่านั้น แล้วมาจากพรหมโลก ยืนอยู่ในอากาศ ด้วยอานุภาพอันใหญ่ เบื้องบน อาศรมบท เมื่อจะพรรณนาปัญญานุภาพของอันเตวาสิกผู้ใหญ่ กล่าวคาถานี้ ความว่า :

"แม้จะมีผู้มาประชุมกันตั้งพันกว่า

พวกเหล่านั้นก็ไม่มีปัญญา พึงคร่ำครวญไปตั้ง ๑๐๐ ปี

บุรุษผู้มีปัญญารู้แจ้งความหมายของคำที่เรากล่าวแล้ว

ผู้เดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า"ดังนี้.

พระโพธิสัตว์ แสดงว่า พวกเหล่านั้นที่มารวมกันอย่างนี้ ไร้ปัญญาเหมือนพวกดาบสโง่เหล่านี้ พากันร้องไห้คร่ำครวญกันไปตั้งร้อยปี แม้ตั้งพันปี แม้ตั้งแสนปี ถึงแม้จะพากันร้องไห้ ก็ไม่พึงรู้ถึงความหมาย หรือเหตุได้เลย.

บุรุษที่เป็นบัณฑิต ผู้มีปัญญา รู้แจ้งความหมายของคำที่เรากล่าวแล้ว เหมือนอย่างอันเตวาสิกผู้ใหญ่นี้คนเดียวเท่านั้น ดีกว่า ประเสริฐกว่าพวกคนพาลตั้งพันกว่าคนเหล่านี้

พระมหาโพธิสัตว์ ยืนอยู่ในอากาศนั่นแหละ แสดงธรรมชี้แจง ให้คณะดาบสรู้แจ้ง ด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ไปสู่พรหมโลกดังเดิม พวกดาบส แม้เหล่านั้น ครั้นสิ้นชีวิตต่างก็ไปเกิดในพรหมโลก.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

อันเตวาสิกผู้ใหญ่ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระสารีบุตร

ส่วนมหาพรหมได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ ปโรสหัสสชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ