ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๓. กุสนาฬิวรรค
อัคคิกชาดก
ว่าด้วยท่านอัคคิกะ
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงนั่นแหละ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้ เรื่องปัจจุบัน เช่นเดียวกับเรื่องที่กล่าวแล้วในหนหลัง.
ความย่อว่า ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ อยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เป็นพญาหนูอยู่ในป่า ครั้งนั้นเมื่อเกิดไฟไหม้ป่า หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งไม่สามารถจะหนีไปได้ทัน ก็ยืนเอาหัวยันไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ขนทั้งตัวของมันถูกไฟไหม้ เหลือแต่ขนตรงที่มันเอาหัว ไปยันต้นไม้ไว้หน่อยหนึ่ง เป็นเหมือนจุกบนกระหม่อม วันหนึ่ง มันดื่มน้ำในตระพัง มองดูเงาเห็นจุกแล้วคิดว่า บัดนี้ สิ่งที่เป็นรากฐานแห่งภัณฑะเกิดแก่เราแล้ว เมื่ออยู่ในป่า เห็นฝูงหนูนั้น คิดว่า เราจักลวงกินหนูเหล่านี้ จึงได้ยืนอยู่ในที่ไม่ไกลตามนัยที่กล่าว แล้วในหนหลังนั่นเทียว
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เที่ยวหากิน เห็นมันแล้วเข้าไปหา ด้วยสำคัญว่า ผู้นี้มีศีล แล้วถามว่า "ท่านชื่อว่า อย่างไร"
สุนัขจิ้งจอกตอบว่า "เราชื่ออัคคิกภารทวาชะ"
ถามว่า "ท่านมาทำอะไรเล่า"
ตอบว่า "มาเพื่อช่วยคุ้มครองพวกเจ้า"
ถามว่า "ท่านทำอย่างไรจึงจะคุ้มครองพวกเราได้"
ตอบว่า "เรารู้ วิธีคำนวณที่เรียกกันว่านับด้วยหาง ในเวลาที่พวกเจ้าพากัน ออกไปหากินแต่เช้า เราก็นับไว้ว่ามีจำนวนเท่านี้ ในเวลากลับ ก็ต้องนับดู เมื่อเราตรวจนับอยู่ทั้งเช้าทั้งเย็นอย่างนี้ ก็จักคุ้มครองพวกเจ้าได้"
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นก็จงคุ้มครองเถิดลุง" มันรับคำแล้ว ในเวลาที่พวกหนูออกไป ก็นับ หนึ่ง สอง สาม เป็นต้น แม้ในเวลาที่กลับมาก็นับโดยทำนองเดียวกัน แล้วตะครุบเอาตัวหลังเพื่อนกินเสีย เรื่องที่เหลือก็เหมือนกับเรื่องก่อนนั่นแหละ แต่ว่าในชาดกนี้ พระยาหนูหันกลับมายืนแล้วกล่าวว่า "เจ้าหมาอัคคิกภารทวาชะเจ้าเล่ห์ จุกบนหัวของเจ้า มิได้มีไว้ เพื่อความซื่อสัตย์สุจริตยุติธรรม แต่มีไว้เพราะเหตุแห่งปากท้อง" แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :
"จุกนี้ มิใช่มีไว้เพราะเหตุแห่งบุญ
มีไว้เป็นเลสอ้างของการหากิน
ฝูงหนูไม่ครบจำนวน เพราะการนับด้วยหาง
พอกันทีเถอะท่านอัคคิกะเจ้าเล่ห์" ดังนี้.
ข้อความที่เหลือ เช่นเดียวกับเรื่องก่อนนั่นแหละ.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
หมาจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุนี้ในบัดนี้
ส่วน พญาหนูได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อัคคิกชาดก