ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๗. อิตถีวรรค
ทุรานชาดก
ภาวะของหญิงรู้ยาก
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสกคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินมาว่า อุบาสกชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง ดำรงมั่นในสรณะทั้ง ๓ ในศีลทั้ง ๕ เป็นพุทธมามกะ (ยึดถือพระพุทธเจ้า ว่าเป็นของเรา) เป็นธัมมมามกะ (ยึดถือพระธรรมว่าเป็นของ เรา)เป็นสังฆมามกะ (ยึดถือพระสงฆ์ว่าเป็นของเรา) ส่วนภรรยาของเขาเป็นหญิงทุศีล มีบาปธรรม วันใดได้ประพฤตินอกใจผัว วันนั้นจะสดชื่นเหมือนนางทาสีที่ไถ่มาด้วยทรัพย์ ๑๐๐ กษาปณ์ แต่ในวันไหนไม่ได้คบชู้ ก็จะเป็นเหมือนเจ้านายที่ดุร้าย หยาบคาย
เขาอ่านใจนางไม่ออก เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เกิดเอือมระอาในนางผู้เป็นภรรยา ไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ภายหลัง วันหนึ่ง เขาถือเครื่องสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ พระศาสดาตรัสว่า เป็นอย่างไรหรือ จึงไม่ได้มายังสำนักของตถาคตถึง ๗ - ๘ วัน เขากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม่เรือนของข้าพระองค์ บางวันก็เป็นเหมือนดังนางทาสีที่เขาไถ่มาด้วยทรัพย์นับร้อยกษาปณ์ บางวัน ก็ทำเป็นเหมือนเจ้านาย ดุร้ายหยาบคาย ข้าพระองค์อ่านนางไม่ออกเลย ข้าพระองค์เกิดเอือมระอาในนาง จึงไม่ได้เข้ามาเฝ้า พระเจ้าข้า
ครั้นพระศาสดาทรงสดับคำของเขาแล้ว จึงตรัสว่า อุบาสก ขึ้นชื่อว่า สภาพของมาตุคามรู้ได้ยากจริง แม้ในครั้งก่อน บัณฑิตทั้งหลายก็เคยบอกกับท่านแล้ว แต่ท่านไม่อาจกำหนดได้ เพราะเกิด ๆ ดับ ๆ ระหว่างภพต่อภพมากำบังไว้ อันอุบาสก กราบทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ให้มาณพ ๕๐๐ คน ศึกษาศิลปะ ครั้งนั้น มาณพผู้หนึ่งอยู่นอกแว่นแคว้น มาเรียนศิลปะในสำนักของท่าน เกิดมีจิตปฏิพัทธ์ในหญิงนางหนึ่ง ได้นางเป็นภรรยา พำนักอยู่ในกรุงพาราณสีนั่นแหละ ไม่ได้ไปอุปัฏฐากอาจารย์เสีย ๒ - ๓ เวลา ส่วนหญิงผู้เป็นภรรยาของเขา เป็นหญิงมีนิสัยชั่ว ใฝ่ต่ำ ในวันที่ประพฤตินอกใจสามีได้ จะสดชื่นเหมือนนางทาสี (ที่เขาไถ่มาด้วยทรัพย์ ๑๐๐ กษาปณ์) ในวันที่ประพฤติไม่ได้ ก็จะเป็นเหมือนเจ้านายที่ดุร้าย หยาบคาย เขาไม่อาจทราบความประพฤติของนางได้ จึงเกิดเอือมระอา ขุ่นข้องหมองใจนาง ไม่ได้ไปสู่ที่บำรุงของอาจารย์ ครั้นล่วงมา ๗ - ๘ วันจึงได้มา
ท่านอาจารย์จึงถามว่า พ่อมาณพ เป็นอะไรไปหรือ จึงไม่มาเลย เขาบอกว่า ท่านอาจารย์ขอรับ ภรรยา ของกระผมบางวันก็ดูปรารถนากระผม ต้องการกระผม เป็นเหมือนนางทาสีที่หมดมานะ บางวันก็เป็นเหมือนเจ้านาย กระด้าง หยาบคาย กระผมไม่อาจอ่านสภาพใจของนางออกได้เลย จึงเกิดเอือมระอา ขุ่นข้องหมองใจ มิได้มาปรนนิบัติท่านอาจารย์ อาจารย์กล่าวว่า ดูก่อนมาณพ เรื่องนี้ก็เป็นอย่างนั้น ขึ้นชื่อว่า หญิงที่นิสัยชั่ว ในวันที่ประพฤตินอกใจสามีได้ ก็ย่อมโอนอ่อนผ่อนตามสามี เหมือนทาสีที่หมดมานะแล้ว แต่ในวันที่ประพฤตินอกใจไม่ได้ จะกลายเป็นหญิงกระด้างด้วยมานะ ไม่ยอมรับนับว่าเป็นสามี ขึ้นชื่อว่าหญิงมีความประพฤติใฝ่ต่ำ นิสัยชั่ว เหล่านี้ ก็เป็นอย่างนี้ ชื่อว่าสภาพของหญิงเหล่านั้น รู้ได้ยาก ในเมื่อพวกนางจะต้องการก็ตาม ไม่ต้องการก็ตาม พึงตั้งตนเป็นกลางเข้าไว้ แล้วกล่าวคาถานี้ โดยมุ่งให้โอวาทแก่เขาว่า :
"อย่ายินดีเลยว่า นางปรารถนาเรา
อย่าเสียใจเลยว่านางไม่ปรารถนาเรา
สภาพของหญิงรู้ได้ยาก
เหมือนรอยของปลาในน้ำ" ดังนี้.
พระโพธิสัตว์ ได้ให้โอวาทแก่ศิษย์อย่างนี้ ตั้งแต่นั้นมา เขาก็เริ่มวางมาดเหนือหญิงเหล่านั้น ถึงแม้ภรรยาของเขา พอรู้ว่า ได้ยินว่าท่านอาจารย์รู้ความประพฤติชั่วของเราแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ก็เลิกประพฤติชั่ว.
แม้พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะ อุบาสกดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า
เมียผัวทั้งสองในครั้งนั้นได้มาเป็นสองเมียผัวในครั้งนี้
ส่วนอาจารย์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ ทุรานชาดก