Thai Chinese (Traditional) English French Italian Portuguese Russian
พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

 

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๑๐. ลิตตวรรค

อสาตรูปชาดก

สิ่งที่ครอบงำคนประมาท

พระศาสดาทรงอาศัยกุณฑิยนครประทับอยู่ ณ กุณฑธานวัน ทรงปรารภอุบาสิกานามว่า สุปปวาสา ผู้เป็นธิดาแห่งโกลิยกษัตริย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ความพิสดารว่า ในสมัยนั้น พระนางสุปปวาสา ต้องทรงพระครรภ์ถึง ๗ ปี แล้วยังต้องเจ็บพระครรภ์อีก ๗ วัน เวทนาเป็นไปขนาดหนัก พระนางแม้จะถูกเวทนาขนาดหนักเสียดแทงถึงอย่างนี้ ก็อดกลั้นทุกข์เสียได้ด้วยวิตก ๓ ประการ เหล่านี้ คือ

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดเล่าทรงแสดงธรรมเพื่อการละทุกข์เห็นปานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้หนอ

สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นหมู่ใดเล่าปฏิบัติแล้วเพื่อการละทุกข์เห็นปานนี้ หมู่สาวกนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ปฏิบัติดีแน่หนอ

ทุกข์เห็นปานนี้ไม่มีในพระนิพพานใดเล่า พระนิพพานนั้นเป็นสุขจริงหนอ

พระนางตรัสเรียกพระสวามีมา แล้วขอให้ไปเฝ้าพระศาสดา เพื่อกราบทูลความเป็นไปของพระนาง ครั้นเมื่อพระศาสดาทรงทราบข่าวการถวายบังคมแล้ว ตรัสว่า โกลิยธิดา สุปปวาสา จงมีความสุขเถิด จงมีความสุข ไม่มีโรค คลอดโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด ครั้นเมื่อสิ้นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดา ก็ทรงประสูติพระโอรสอย่างง่ายดายโดยไม่มีความเจ็บปวด

ครั้นพระสวามีของพระนางเสด็จถึงนิเวศน์ ทอดพระเนตรเห็นพระนางประสูติแล้ว ได้ทรงเกิดอัศจรรย์ หลากพระทัยว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ อานุภาพของพระตถาคตเหลือประมาณ แม้พระนางสุปปปวาสา ทรงประสูติพระกุมารแล้ว ก็ปรารถนาจะถวายมหาทาน แด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประมุข จึงส่งพระสวามีกลับไปเพื่อนิมนต์

แต่ก็ก่อนหน้านั้น อุปัฏฐากของพระมหาโมคคัลลานะ ก็ได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุขไว้ก่อนแล้ว พระศาสดาจึงส่งพระสวามีของพระนางไปสู่สำนักของพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้า ให้ท่านเจรจาให้อุปัฏฐากของท่านยอมตกลง เพื่อให้โอกาสแก่พระนางสุปปวาสา แล้วพระศาสดาจึงทรงรับทานของพระนางตลอด ๗ วัน กับภิกษุสงฆ์.

ครั้นถึงวันที่ ๗ พระนางสุปปวาสาตกแต่งพระสีวลีกุมารผู้โอรสนำออกมาถวายบังคมพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระกุมารถูกนำเข้าไปยังอาสนะของพระสารีบุตรเถระเจ้าโดยลำดับ พระสารีบุตรเถระเจ้าได้กระทำปฏิสันถารกับพระกุมารว่า สีวลี เธอยังจะพอทนได้หรือ สีวลีกุมาร ตรัสกับพระสารีบุตรว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ กระผมจะมีความสุขที่ไหนได้เล่า กระผมนั้นต้องอยู่ในโลหกุมภีถึง ๗ ปี พระนางสุปปวาลาทรงสดับถ้อยคำนั้นของพระโอรสแล้ว ทรงโสมนัสว่า ลูกของเราเกิดได้ ๗ วัน ก็พูดคุยกับพระธรรมเสนาบดีได้

พระศาสดาตรัสว่า สุปปวาสา ยังจะปรารถนาบุตรอย่างนี้คนอื่น ๆ อีกไหมเล่า พระนางกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ากระหม่อมฉันพึงได้โอรสอื่น ๆ อย่างนี้ ๗ คน เกล้ากระหม่อมฉันก็ปรารถนาทีเดียวพระเจ้าค่ะ พระศาสดาทรงเปล่งพระอุทาน กระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จหลีกไป

ฝ่ายพระกุมารสีวลี พอมีพระชนม์ได้ ๗ พรรษาเท่านั้น ก็ทรงบวชถวายชีวิตในพระศาสนา ครั้นมีอายุครบ ก็ได้อุปสมบทเป็นผู้มีบุญ ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ บรรลือลั่นตลอดพื้นปฐพี บรรลุพระอรหัตผลแล้ว ได้รับฐานะเป็นเอตทัคคะในกลุ่มแห่งท่านผู้มีบุญทั้งหลาย

อยู่มาวันหนึ่ง พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภา ตั้งข้อสนทนากันว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเถระที่มีนามว่า สีวลี มีบุญมาก มีความปรารถนา อันตั้งไว้แล้ว เป็นสัตว์อุบัติในภพสุดท้าย เห็นปานนี้ ต้องอยู่ในโลก โลหกุมภีถึง ๗ ปี แล้วยังต้องถึงความหลงครรภ์ ๗ วัน น่าสงสารพระมารดาต้องทรงเสวยทุกข์อย่างใหญ่หลวง ท่านได้กระทำกรรมอะไรไว้หนอแล

พระศาสดาเสด็จไป ณ ธรรมสภานั้น ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วย เรื่องอะไรในบัดนี้ เมื่อพวกภิกษุกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การอยู่ในโลหกุมภีถึง ๗ ปี และการถึงความหลงครรภ์อีก ๗ วัน ของสีวลีผู้มีบุญมาก มีกรรมที่ตนทำไว้เป็นมูลทีเดียว ความทุกข์ในการอุ้มท้องไว้ถึง ๗ ปี และทุกข์เพราะปวดครรภ์ถึง ๗ วัน ของพระนางสุปปวาสานั้นเล่า ก็มีกรรมที่ตนกระทำไว้เป็นมูลเหมือนกัน พระศาสดาอันภิกษุทั้งหลายกราบทูลอาราธนาแล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระอุทรแห่งพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์นั้น ทรงเจริญวัยแล้ว ทรงศึกษาสรรพศิลปวิทยา ณ เมืองตักกสิลา ครั้นพระชนกเสด็จทิวงคตก็ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม สมัยนั้นพระเจ้าโกศล ทรงกรีฑาพลเป็นกองทัพใหญ่ เสด็จมายึดพระนครพาราณสีได้สำเร็จโทษพระราชาเสียแล้ว กระทำอัครมเหสีของพระราชานั้นแหละให้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ฝ่ายพระโอรสของพระเจ้าพาราณสี เวลาที่พระราชบิดาเสด็จสวรรคต เสด็จหนีไปทางช่องระบายน้ำ ทรงรวบรวมกำลังได้ ยกมาสู่พระนครพาราณสี ประทับพักแรมในที่ไม่ไกล ทรงส่งหนังสือไปถึงพระราชานั้นว่า จงมอบราชสมบัติคืน หรือมิฉะนั้นจงรบกัน

พระราชานั้นทรงตอบหนังสือไปว่า เราจะทำการยุทธ ฝ่ายพระราชมารดาของพระราชกุมาร ทรงสดับสาสน์นั้นแล้ว ลอบส่งหนังสือไปว่า ไม่ต้องทำการรบดอก จงล้อมพระนครพาราณสี ตัดการไปมาของพระนครเสียให้เด็ดขาดสัก ๗ วัน แต่นั้นก็ยึดพระนครซึ่งผู้คนลำบากแล้วด้วยการสิ้นฟืน น้ำ และ ภัตต์ โดยไม่ต้องรบเลย พระราชกุมารฟังข่าวของพระมารดาแล้ว ก็ล้อมพระนครไว้ ตัดการไปมาเด็ดขาดตลอด ๗ วัน ชาวเมืองไปมาไม่ได้ ก็ตัดเอาเศียรของพระราชานั้นไปถวายพระกุมาร ในวันที่ ๗ พระราชกุมารก็เสด็จเข้าพระนครครองราชสมบัติ เมื่อสิ้นพระชนมายุ ก็เสด็จไปตามยถากรรม.

ในกาลบัดนี้ พระสีวลีนั้นต้องอยู่ในโลหกุมภีตลอด ๗ ปี ถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ ๗ วัน ด้วยกระแสกรรมที่ล้อมพระนคร ตัดการไปมาเสียเด็ดขาดถึง ๗ วัน แล้วยึดเอา ก็แต่ว่าท่านได้ให้มหาทาน กระทำความปรารถนาไว้แทบพระบาทแห่งพระปทุมมุตตรพุทธเจ้าว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้เลิศกว่าบุคคลผู้มีลาภทั้งหลาย และในครั้งพระวิปัสสีพุทธเจ้า ร่วมกับชาวเมืองถวายเนยแข็ง มีมูลค่าราคาหนึ่งพัน แล้วได้กระทำความปรารถนาไว้ ด้วยอานุภาพแห่งทานนั้น จึงได้เป็นผู้เลิศกว่าผู้มีลาภทั้งหลาย ส่วนพระนางสุปปวาสาเล่า เพราะส่งข่าวไปว่า จงล้อมพระนครยึดเอาเถิดพ่อ จึงต้องทรงบริหารครรภ์อุ้มพระอุทรตลอด ๗ ปี แล้วยังต้องเกิดครรภ์หลงอีกถึง ๗ วัน ดังนี้แล

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

ราชกุมารผู้ล้อมพระนครแล้วสืบราชสมบัติในครั้งนั้น ได้มาเป็นสีวลีในครั้งนี้

พระมารดาได้มาเป็นพระนางสุปปวาสา

ส่วนพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นพระราชบิดา ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อสาตรูปชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ