ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๕.อัตถกามวรรค
มกสชาดก
มีศัตรูผู้มีปัญญาดีกว่ามีมิตรโง่
พระบรมศาสดา เมื่อเสด็จจาริกไปในหมู่ชนชาวมคธ ทรงปรารภพวกมนุษย์ชาวบ้านที่เป็นพาล ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้ :
ได้ยินมาว่า ในสมัยหนึ่งพระตถาคตเจ้าเสด็จจากพระนครสาวัตถี ไปสู่แคว้นมคธ ขณะกำลังเสด็จจาริกไปในแคว้นมคธนั้น ทรงบรรลุถึงบ้านตำบลหนึ่ง แม้บ้านหมู่นั้นก็หนาแน่นไปด้วยพวกมนุษย์อันธพาลโดยมาก ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพวกมนุษย์อันธพาล ประชุมปรึกษากันว่า ท่านทั้งหลาย พวกยุงมันรุมกัดเรา ขณะที่ไปทำการงานในป่า เพราะเหตุนั้น การงานของเราทั้งหลายจึงขาดไป พวกเราจักถือธนูแลอาวุธ ครบมือทีเดียว พากันไปรบกับฝูงยุง ฆ่ามันเสีย แทงมันเสีย ให้ตายให้หมด ดังนี้แล้ว พากันไปป่า ต่างก็หมายมั่นว่า เราจักแทงฝูงยุง กลับไปทิ่มแทงประหารกันเอง ต่างคนต่างก็เจ็บป่วยกลับมา นอนอยู่ภายในบ้านก็มี ที่กลางบ้านก็มี ที่ประตูบ้านก็มี
พระบรมศาสดา แวดล้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปสู่บ้านนั้นเพื่อบิณฑบาต หมู่คนที่เป็นบัณฑิตที่เหลือ เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงสร้างมณฑปที่ประตูบ้าน ถวายมหาทานแก่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ถวายบังคมพระศาสดา นั่งอยู่แล้ว ครั้งนั้น พระศาสดาทอด พระเนตรเห็นคนทั้งหลาย ล้มนอนเจ็บในที่นั้น ๆ ก็ตรัสถามอุบาสกเหล่านั้นว่า คนเหล่านี้ไปทำอะไรกันมา จึงได้เจ็บป่วยกันมากมาย ? อุบาสกเหล่านั้นก็กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนเหล่านี้คบคิดกันว่า พวกเราจักทำการรบกับฝูงยุง แล้วพากันยกไป กลับไปรบกันเอง เลยเจ็บป่วยไปตาม ๆ กัน พระศาสดาตรัสว่า มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นที่พวกมนุษย์อันธพาลคบคิด กันว่า เราจักประหารฝูงยุง กลับประหารตนเอง แม้ในครั้งก่อน ก็เคยเป็นพวกมนุษย์ที่คิดว่าจักประหารยุง แต่กลับประหารผู้อื่น มาแล้วเหมือนกัน แล้วทรงดุษณี ต่อเมื่อพวกมนุษย์เหล่านั้น ทูลอาราธนา แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เลี้ยงชีวิตด้วยการค้า ครั้งนั้นที่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ในแคว้นกาสี มีพวกช่างไม้อาศัยอยู่มากด้วยกัน ช่างไม้หัวล้านคนหนึ่ง ในหมู่ช่างไม้เหล่านั้น กำลังตากไม้ ขณะนั้นมียุงตัวหนึ่ง บินมาจับที่ศีรษะ ซึ่งคล้ายกับกะโหลกทองแดงคว่ำ แล้วกัดศีรษะด้วยจะงอยปากเหมือนกับแทงด้วยหอก ช่างไม้จึงบอกลูกของตน ผู้นั่งอยู่ใกล้ ๆ ว่า ไอ้หนู ยุงมันกัดศีรษะพ่อ เจ็บเหมือนถูกแทงด้วยหอก จงฆ่ามันเสีย ลูกพูดว่า พ่อจงอยู่นิ่ง ๆ ฉันจะฆ่ามัน ด้วยการตบครั้งเดียวเท่านั้น แม้ในเวลานั้น พระโพธิสัตว์ ก็กำลังเที่ยวแสวงหา สินค้าของตนอยู่ ลุถึงบ้านนั้น นั่งพักอยู่ในโรงของช่างไม้นั้น เป็นเวลาเดียวกันกับที่ช่างไม้นั้น บอกลูกว่า ไอ้หนู ไล่ยุงนี้ที ลูกขานรับว่า จ้ะพ่อ ฉันจะไล่มัน พูดพลางก็เงื้อขวานเล่มใหญ่ คมกริบ ยืนอยู่ข้างหลังพ่อ ฟันลงมาเต็มที่ ด้วยคิดว่าจักประหารยุง เลยผ่าสมองของบิดาเสียสองซีก ช่างไม้ถึงความตายในที่นั้นเอง พระโพธิสัตว์เห็นการกระทำของลูกช่างไม้แล้ว ได้คิดว่า ถึงปัจจามิตรเป็นบัณฑิตก็ยังดีกว่า เพราะเขายังเกรงอาญาแผ่นดิน ไม่ถึงกับฆ่ามนุษย์ได้ แล้วกล่าวว่า
เพราะความที่ตนเป็นคนโง่เขลา แม้เป็นบุตร คิดว่า เราจักฆ่ายุง ก็ยัง ผ่าหัวสมองของพ่อเสียแล่งเป็น ๒ ซีก เพราะเหตุนั้น บัณฑิตถึงจะเป็นศัตรู ก็ยังดีกว่ามิตรที่โง่ ๆ.
พระโพธิสัตว์ ครั้นกล่าวแล้ว ก็ลุกขึ้นไปทำงานตามหน้าที่ แม้พวกที่เป็นญาติก็ได้จัดการทำสรีรกิจของช่างไม้.
พระบรมศาสดาตรัสว่า อุบาสกทั้งหลาย แม้ในครั้งก่อน ก็ได้เคยมีมนุษย์ที่ได้คิดว่า เราจักประหารยุง แต่กลับประหารคนอื่นมาแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ก็พ่อค้าบัณฑิตที่กล่าวคาถาแล้ว หลีกไป ได้มาเป็นเราตถาคตนี้แล.
จบมกสชาดก