ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๘. วรุณวรรค
มัจฉชาดก
ว่าด้วยปลาขอฝน
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภฝนที่พระองค์ทรงบันดาลให้ตกลง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
ดังได้สดับมา ในสมัยหนึ่ง ในแคว้นโกศล ฝนไม่ตกเลย ข้าวกล้าทั้งหลายเหี่ยวแห้ง ตระพังสระโบกขรณีและสระในที่นั้น ๆ ก็เหือดแห้ง แม้โบกขรณีเชตวัน ณ ที่ใกล้ซุ้มพระทวารเชตวัน ก็ขาดน้ำ ฝูงกาและนกเป็นต้น รุมกันเอาจะงอยปาก อันเทียบได้กับปากคีม จิกทึ้งฝูงปลาและเต่าอันหลบคุดเข้าสู่เปือกตมออกมากิน ทั้ง ๆ ที่กำลังดิ้นอยู่ พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นความพินาศของฝูงปลาและเต่า พระมหากรุณาเตือนพระทัยให้ทรงอุตสาหะ จึงทรงพระดำริว่า วันนี้เราควรจะให้ฝนตก ครั้นราตรีสว่างแล้ว ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ เสร็จ ทรงกำหนดเวลาภิกษาจาร มีพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ด้วยพระพุทธลีลา ภายหลังภัตรเสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว เมื่อเสด็จจากพระนครสาวัตถี สู่พระวิหาร ประทับยืนที่บันไดโบกขรณีเชตวัน ตรัสเรียกพระอานนทเถรเจ้ามาว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงเอาผ้าอาบน้ำมา เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน พระอานนทเถรเจ้า กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำในโบกขรณี เชตวันแห้งขอด เหลือแต่เพียงเปือกตมเท่านั้น มิใช่หรือพระ เจ้าข้า ตรัสว่า อานนท์ ธรรมดาว่า กำลังของพระพุทธเจ้าใหญ่หลวงนัก เธอจงนำเอาผ้าอาบน้ำมาเถิด พระเถรเจ้าได้นำมาทูลถวาย พระศาสดาทรงนุ่งผ้าอุทกสาฎก ด้วยชายข้างหนึ่ง อีกชายหนึ่งทรงคลุมพระสรีระประทับยืนที่บันไดตั้งพระทัยว่า เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน.
ทันใดนั้นเอง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะ ก็สำแดงอาการร้อน ท้าวเธอรำพึงว่า อะไรเล่าหนอ ทรงทราบเหตุนั้น จึงมีเทวบัญชาเรียกวลาหกเทวราชเจ้าแห่งฝนมาเฝ้า พลางตรัสว่า พ่อเทพบุตร พระบรมศาสดา ทรงตั้งพระทัยว่า เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน ประทับยืนอยู่ ณ บันได เธอจงกระทำแคว้นโกศลทั้งสิ้น ให้มีเมฆพะยับพะโยมเป็นอันเดียวกัน บันดาลให้ฝนตกโดยเร็วเถิด วลาหกเทวราช รับเทวบัญชาแล้ว นุ่งก้อนเมฆก้อนหนึ่ง ห่มก้อนหนึ่ง ขับเพลง เมฆสังคีต บ่ายหน้าไปทางโลกธาตุด้านตะวันออก เหาะไปแล้ว ณ ทิศาภาคตะวันออก ก็ปรากฏกลุ่มเมฆกลุ่มหนึ่ง มีขนาดเท่าลานนวดข้าว ซ้อนเป็นชั้น ๆ ตั้งร้อยชั้นพันชั้น คำรณคำราม ฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนก็ตกลงมาด้วยอาการประหนึ่งว่าคว่ำหม้อ เทลงมา แคว้นโกศลทั้งสิ้น ท่วมท้นเหมือนห้วงน้ำไหลบ่าท่วมอยู่ ฝนตกอยู่ไม่ขาดสาย ครู่เดียวเท่านั้น ก็เต็มสระโบกขรณีเชตวัน น้ำท่วมจดถึงแคร่บันได.
พระบรมศาสดาลงสรงในสระโบกขรณีเชตวันแล้ว ทรงครองผ้าสองชั้นสีแดง คาดรัดประคด ทรงครองสุคตจีวรเฉวียงพระอังสา แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จพระดำเนินไปประทับนั่ง เหนือพระบวรพุทธาอาสน์ที่ปูลาดไว้ในบริเวณพระคันธกุฏี เมื่อภิกษุสงฆ์แสดงวัตรปฏิบัติแล้ว ก็เสด็จอุฏฐาการ ประทับยืน ณ พื้นขั้นบันไดแก้วมณี ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วทรงส่งกลับไป เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฏีที่มีกลิ่นจรุงใจ ทรงบรรทมสีหไสยา ด้วยพระปรัศว์เบื้องขวา
ต่อเวลาเย็น พวกภิกษุประชุม กันในธรรมสภา ยกเรื่องขึ้นสนทนากันว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดู พระคุณสมบัติคือ ขันติ พระเมตตา และพระกรุณาของพระทศพล ในเมื่อข้าวกล้าต่าง ๆ กำลังเหี่ยวแห้ง ชลาลัยทุกแห่งก็เหือดหาย ฝูงปลาและเต่า ประสบทุกข์ใหญ่หลวง พระองค์ทรงอาศัยพระกรุณา ทรงครองผ้าอุทกสาฎก ด้วยมุ่งพระทัยจักให้มหาชนพ้นจากความทุกข์ ประทับยืน ณ บันไดขั้นแรกแห่งโบกขรณีเชตวัน ทรงบันดาลให้ฝนตก เหมือนห้วงน้ำใหญ่ไหลบ่าท่วมโกศลรัฐทุกส่วน โดยเวลาเพียงครู่เดียว ทรงปลดเปลื้องมหาชนจากทุกข์กาย ทุกข์ใจ แล้วเสด็จเข้าพระวิหาร พระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฏี เสด็จมาสู่ธรรมสภา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุม สนทนากันด้วยเรื่องอะไร ครั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตทำให้ฝนตก ในเมื่อมหาชนพากันลำบาก แม้ในกาลก่อน เมื่อตถาคตเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน แม้ในคราวเป็นราชาของฝูงปลา ก็ได้ทำให้ฝนตกแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล มีลำห้วยแห่งหนึ่ง ล้อมรอบด้วยชัฏแห่งเถาวัลย์ อยู่ตรงโบกขรณีเชตวันนี้ ณ เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล นี้แหละ ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดปลา มีฝูงปลาเป็นบริวารอยู่ในลำห้วยนั้น แม้ในคราวนั้น แคว้นนั้นฝนก็ไม่ตกเหมือนคราวนี้ ข้าวกล้าของพวกมนุษย์เหี่ยวแห้ง ในบึงเป็นต้น ขาดน้ำ ฝูงปลาและเต่าพากันคุดเข้าเปือกตม แม้ที่ลำห้วยนั้น ฝูงปลาก็พากันคุดเข้าโคลนตม ซุกซ่อนในที่นั้น ๆ ฝูงกาเป็นต้น ก็พากันรุมจิกทึ้งออกมาจิกกินด้วยจะงอยปาก พระโพธิสัตว์เห็นความพินาศของหมู่ญาติ ก็ดำริว่า ผู้อื่นเว้นเราเสียแล้ว ใครเล่าที่จะได้ชื่อว่าสามารถปลดเปลื้องทุกข์ของพวกปลา เหล่านี้ เป็นไม่มี เราจักทำสัจจกิริยาให้ฝนตก ปลดเปลื้องฝูงญาติจากทุกข์คือความตายให้จงได้ แล้วแหวกตมสีดำออก
พญาปลาใหญ่ สีกายเหมือนปุ่มต้นอัญชัน ลืมตาทั้งคู่ อันเปรียบได้กับแก้วมณี สีแดงที่เจียรนัยแล้ว มองดูอากาศ บันลือเสียง กล่าวแก่เทวราชปัชชุนนะว่า ข้าแต่พระปัชชุนนะผู้เจริญ ข้าพเจ้า อาศัยหมู่ญาติเดือดร้อนมาก ในเมื่อข้าพเจ้าผู้ทรงศีลลำบากอยู่ ทำไมท่านไม่ช่วยให้ฝนตกลงมาเล่า ข้าพเจ้าบังเกิดในฐานะที่ จะกัดกินพวกเดียวกัน แต่ก็ยังไม่เคยได้ชื่อว่า กัดกินมัจฉาชาติ ตั้งต้นแต่ปลาเล็กแม้มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ถึงสัตว์มีปราณ อื่น ๆ เล่า ข้าพเจ้าก็มิได้เคยแกล้งปลงชีวิตเลย ด้วยสัจจวาจานี้ ขอท่านจงให้ฝนตกลงมา ปลดเปลื้องหมู่ญาติของข้าพเจ้าจากทุกข์ เทอญ
พระโพธิสัตว์เรียกท้าวปัชชุนนะ เหมือนสั่งบังคับคนรับใช้ อย่างนี้ ให้ฝนห่าใหญ่ตกทั่วแคว้นโกศล ให้มหาชนพ้นจากมรณทุกข์ ในปริโยสานกาลของชีวิตก็ได้ไปตามยถากรรม.
พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตยังฝนให้ตก แม้ในกาลก่อน ถึงเกิดในกำเนิดปลา ก็ให้ฝนตกแล้วเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ฝูงปลาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท
ปัชชุนนะเทวราชได้มาเป็น พระอานนท์
ส่วนพญาปลาได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ มัจฉชาดก