ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๙. อปายิมหวรรค
กุหกชาดก
พูดดีได้เงินได้ทอง
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้มักหลอกลวงรูปหนึ่งตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
เรื่องการหลอกลวง เช่นเดียวกับเรื่องที่ปรากฏใน อุททาลกชาดก
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ชฎิลโกงผู้หนึ่งเป็นดาบสหลอกลวง อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ตำบลหนึ่ง กุฎุมพีคนหนึ่งช่วยสร้างศาลาในป่าให้ดาบสนั้น ให้ดาบสอยู่ในบรรณศาลา ปรนนิบัติด้วยอาหารอันประณีตในเรือนของตน เขาเชื่อดาบสโกงนั้นว่าท่านผู้นี้เป็นผู้มีศีล นำเอาทองร้อยแท่งไปยังศาลาของดาบส ฝังไว้ในแผ่นดินเพราะกลัวโจร แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าพึงดูแลทองนี้ด้วย
ครั้งนั้น ดาบสกล่าวกะเขาว่า คุณ การพูดแบบนี้ แก่พวกที่ได้นามว่า บรรพชิตไม่สมควรเลย ขึ้นชื่อว่า ความโลภในสิ่งของของผู้อื่นนั้น ไม่มีในหมู่ของพวกเราเลย
เขากล่าวว่า “ดีละ พระคุณเจ้าผู้เจริญ” เชื่อถ้อยคำของดาบส แล้วหลีกไป ดาบสชั่วคิดว่า เราอาจเลี้ยงชีพด้วยทรัพย์นี้ได้ ล่วงไปได้สองสามวัน ก็ยักเอาทองนั้นไปไว้ ณ ที่หนึ่ง ระหว่างทาง ย้อนมาเข้าไป ยังบรรณศาลา พอวันรุ่งขึ้น เมื่อดาบสทำภัตกิจในเรือนของกุฎุมพีเสร็จแล้ว ก็กล่าวอย่างนี้ว่า “พวกเราอาศัยท่านอยู่นานแล้ว ความพัวพันกันกับพวกมนุษย์ย่อมเกิดขึ้น ก็ธรรมดาว่า ความพัวพันเป็นมลทินของบรรพชิต เพราะฉะนั้นอาตมาจะขอลาไป แม้กุฏุมพีจะอ้อนวอนแล้ว ๆ เล่า ๆ ก็ไม่ปรารถนาจะกลับ” ครั้งนั้นกุฎุมพี จึงกล่าวกะดาบสว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็นิมนต์ไปเถิด พระคุณเจ้าข้า” ดังนี้แล้ว ตามไปส่งจนถึงประตูบ้านแล้วจึงกลับ
ดาบสเดินไปได้หน่อยหนึ่ง คิดว่า เราควรจะลวงกุฎุมพีนี้ ก็เอาหญ้าวางติดไว้ที่ชฎา แล้วย้อนกลับไปยังบ้านกุฏุมพี กุฏุมพีถามว่า “พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้ากลับมาทำไม ขอรับ”
ตอบว่า “ผู้มีอายุ หญ้าเส้นหนึ่งเกี่ยวชฎาของฉันไปจากชายคาเรือนของพวกท่าน ขึ้นชื่อว่า อทินนาทาน ไม่สมควรแก่บรรพชิต อาตมาจึงรีบนำมันกลับมา”
กุฎุมพีกล่าวว่า “จงทิ้งมันเสีย แล้วนิมนต์ไปเถิดครับ เลื่อมใสว่าพระดาบสไม่ถือเอาสิ่งของ ๆ ผู้อื่น ซึ่งแม้เพียงเส้นหญ้า โอ พระคุณเจ้าของเรา เคร่งครัดจริง” ดังนี้กราบแล้ว ส่งพระดาบสไป
ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ได้เดินทางไปยังชนบทชายแดนเพื่อต้องการสิ่งของ อาศัยพักแรมในบ้านกุฎุมพีท่านฟังคำของดาบสแล้ว คิดว่า ดาบสร้ายผู้นี้ จักต้องถือเอาอะไร ๆ ของกุฎุมพีนี้ไป เป็นแน่ จึงถามกุฎุมพีว่า “ดูก่อนสหาย ท่านได้ฝากฝังอะไร ๆ ไว้ในสำนักของดาบสนั้น มีหรือไม่”
กุฎุมพีตอบว่า “มีอยู่สหาย เราฝากฝังทองไว้ ๑๐๐ แท่ง” พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรีบไปตรวจตราดูทองนั้นเถิด” เขาไปบรรณศาลาแล้วตรวจดูทองที่ฝังเอาไว้ก็ไม่เห็นทองนั้น จึงรีบกลับมาบอกพระโพธิสัตว์ว่า “ทองไม่มี สหาย”
พระโพธิสัตว์บอกว่า “ทองของท่านผู้อื่นไม่ได้เอาไปดอก ดาบสร้ายนั้นคนเดียวเอาไป มาเถิด เรามาช่วยกันติดตามจับดาบสนั้น” แล้วรีบตามไปก็จับดาบสโกงได้ ทุบบ้าง เตะบ้าง ให้นำเอาทองมาคืน แล้วจับไว้ พระโพธิสัตว์เห็นทองแล้วกล่าวว่า “ดาบสนี่ขโมยทอง ๑๐๐ แท่ง ยังไม่ข้องใจ ไพล่มาข้องใจในเรื่องเพียงเส้นหญ้า” เมื่อจะติเตียน ดาบสนั้น กล่าวคาถานี้ ความว่า :
"น้อยหรือถ้อยคำของเจ้า ช่างสละสลวยพูดจาน่านับถือจริง ๆ เจ้าข้องใจในวัตถุเพียงเส้นหญ้า แต่เมื่อขโมยทองร้อยแท่งไป ไม่ข้องใจเลยนะ" ดังนี้.
พระโพธิสัตว์ ครั้นติเตียนดาบสนั้น ด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ให้โอวาทแก่ดาบสว่า “ดูก่อนชฎิลโกง ท่านอย่าได้ทำกรรมเห็นปานนี้ต่อไปอีก” ดังนี้แล้ว ก็ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุนี้เป็นผู้หลอกลวง แม้ในกาลก่อน ก็ได้เป็นผู้หลอกลวงแล้วเหมือนกัน” ดังนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ดาบสโกงในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุหลอกลวงในครั้งนี้
ส่วนบุรุษผู้เป็นบัณฑิต ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ กุหกชาดก