ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๕. กกัณฏกวรรค
นังคุฏฐชาดก
ว่าด้วยบูชาไฟด้วยหางวัว
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภตบะที่ผิดของพวกอาชีวก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พวกอาชีวกพากันประพฤติตบะผิด มีประการต่าง ๆ ที่หลังพระเชตวันมหาวิหาร ภิกษุทั้งหลายจำนวนมาก เห็นตบะที่ผิดนั้น อาทิเช่น อุกกุฏิกัปปธานะ (ตั้งหน้าในการนั่งกระโหย่ง) วัคคุลิวัตร (ทำอย่างค้างคาว) กัณฏกาปัสสยะ (นอนบนหนาม) ปัญจตมนะ (ย่างด้วยไฟ ๕ กอง) ของพวกนั้น พากันกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุศลหรือความเจริญ ที่จะเกิดโดยอาศัยการทำตบะที่ผิดนี้จะมีได้หรือ พระเจ้าข้า" พระศาสดาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุศลหรือ ความเจริญ ที่จะเกิดโดยอาศัยการทำตบะที่ผิดอย่างนี้มีไม่ได้ ในครั้งก่อนบัณฑิต สำคัญเสียว่า อาศัยตบะอย่างนี้ กุศลหรือความเจริญคงมีได้ ถือเอาไฟประจำกำเนิดเข้าป่า ไม่พบความเจริญอะไรเลย ด้วยอำนาจการบูชาไฟเป็นต้น จึงเอาน้ำดับไฟเสีย บำเพ็ญกสิณ บริกรรม ให้อภิญญาสมาบัติบังเกิดแล้ว ได้ไปพรหมโลกต่อไป" แล้วทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์ ในวันที่ท่านเกิด บิดามารดาก็จุดไฟประจำกำเนิดตั้งไว้ให้ ครั้นท่านมีอายุได้ ๑๖ ปี บิดามารดาบอกท่านว่า "ลูกเอ๋ยในวันที่เจ้าเกิด เราจุดไฟไว้ให้ ถ้าเจ้าประสงค์จะครองเรือน จงเรียนพระเวททั้งสาม หรือมิฉะนั้น จะประสงค์ไปพรหมโลก ก็จงถือไฟเข้าป่า บำเรอไฟ ทำให้ท้าวมหาพรหมโปรดปรานแล้ว ก็จะเป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้"
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า "ข้าพเจ้า ไม่ต้องการอยู่ครองเรือน จึงได้ถือไฟเข้าป่า สร้างอาศรมบท บำเรอไฟอยู่ในป่า" วันหนึ่งได้รับของถวาย คือโคในหมู่บ้านชายแดน จึงจูงโคไปสู่อาศรมบท คิดว่า เราจักให้พระอัคคีผู้มีโชคฉันเนื้อโค ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้มีปริวิตกดังนี้ว่า ที่นี่ไม่มีเกลือ พระอัคคีผู้มีโชค จักไม่สามารถฉันเนื้อที่ไม่เค็มได้ เราจักไปหาเกลือมาจากบ้าน ให้พระอัคคีผู้มีโชค ฉันเนื้อที่มีรสเค็ม พระโพธิสัตว์ จึงผูกโคไว้ในที่ตรงนั้นเอง ได้ไปหมู่บ้านเพื่อหาเกลือ ขณะที่ท่านไป มีพรานหลายคนมาถึงที่นั้น เห็นโคแล้วฆ่าย่างเนื้อกิน ทิ้งหาง แข้ง และหนังไว้ตรงนั้นแหละ แล้วนำเนื้อที่เหลือไปเสียด้วย พราหมณ์มาแล้ว เห็นโคเหลือแต่หนังเป็นต้น คิดว่า พระอัคคีผู้มีโชคนี้ แม้แต่ของ ๆ ตน ยังไม่อาจรักษาไว้ได้ จักรักษาเราได้ที่ไหนเล่า การบำเรอไฟนี้น่าจะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ กุศลหรือความเจริญมีการบูชาไฟนี้เป็นเหตุ คงไม่มีแน่ พราหมณ์ ก็หมดความพอใจในการบำเรอไฟ กล่าวว่า "ข้าแต่พระอัคคีผู้เจริญ แม้แต่ของของตน ท่านยังไม่สามารถรักษาไว้ ที่ไหนจักรักษาเราได้เล่า เนื้อไม่มีแล้ว จงยินดีเพียงเท่านี้เถิด" เมื่อจะโยนหาง เป็นต้น เข้ากองไฟ กล่าวคาถานี้ ความว่า
"ไฟไม่ใช่สัตบุรุษ ที่เราบูชาเจ้าด้วยหางแม้เท่านี้ ก็มากไปแล้ว
วันนี้เนื้อไม่มีสำหรับเจ้าผู้ชอบเนื้อ
ท่านอัคคีผู้เจริญ จงรับเอาแต่เพียงหางเถิด นะ" ดังนี้.
พระมหาสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็เอาน้ำดับไฟเสีย บวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญา และสมาบัติให้บังเกิด แล้วได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ดาบสผู้ดับไฟเสียในครั้งนั้นได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ นังคุฏฐชาดก