ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๕.อัตถกามวรรค
ทุมเมธชาดก
คนโง่ถูกบูชายัญเพราะคนอธรรม
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี แห่งพระราชาพระองค์นั้น ครั้นประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว พระประยูรญาติได้ขนานพระนามให้ว่า "พรหมทัตกุมาร" พอมีพระชนม์ ๑๖ พรรษา ก็ได้ทรงศึกษาศิลปะในเมืองตักกสิลา ทรงเจนจบไตรเพท และทรงสำเร็จศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ
ต่อมาพระราชบิดาทรงพระราชทาน ตำแหน่งอุปราชแก่พระองค์ ในครั้งนั้น ประชาชนในกรุงพาราณสี นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ พากันนอบนบเทวดา ฆ่า แพะ แกะ ไก่ และหมู เป็นต้นมากมาย กระทำการบวงสรวง ด้วยดอกไม้และของหอมนานาชนิด และด้วยเนื้อและโลหิต พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า บัดนี้ ประชาราษฎร์นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ พากันฆ่าสัตว์ มหาชนฝังใจในอธรรมถ่ายเดียวโดยมาก เราได้ราชสมบัติ เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว จักไม่ให้สัตว์แม้สักตัวเดียวได้ลำบาก ต้องหาอุบายไม่ให้ใคร ๆ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้จงได้
อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ทรงรถเสด็จออกจากพระนคร ทอดพระเนตรเห็นมหาชนชุมนุมกันที่ ต้นไทรใหญ่ ต้นหนึ่ง ใครอยากได้สิ่งใด ๆ ในบรรดา ลูกชาย ลูกหญิง ยศ และทรัพย์เป็นต้น ก็พากันบนในสำนักของเทวดา อันสิงอยู่ ณ ต้นไทรนั้น พระองค์จึงเสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินเข้าไปใกล้ต้นไม้ ทรงบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ สรงสนาน กระทำปทักษิณต้นไม้เหมือนกับพวกที่ถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ บังคมเทวดาแล้ว เสด็จขึ้นทรงรถกลับเข้าพระนคร
ตั้งแต่นั้นมา ก็เสด็จไปที่ต้นไม้นั้น ทุก ๆ ขณะเวลาที่ว่าง ทรงทำการบูชาเหมือนเป็นผู้นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ ดังพรรณนามาแล้วนั่นแล โดยสมัยต่อมา พระราชบิดาสวรรคต พระองค์ก็ได้เสวยราชย์ ทรงเว้นอคติ ๔ ประการ ทรงประพฤติทศพิธราชธรรม เคร่งครัด ดำรงราชโดยธรรม ทรงพระดำริว่า มโนรถของเราถึงที่สุดแล้ว เราดำรงในราชสมบัติแล้ว แต่ข้อหนึ่งที่เราคิดไว้ครั้งก่อนนั้น ก็จะต้องให้ถึงที่สุดในบัดนี้ พลางมีพระราชกระแส เรียกพวกอำมาตย์และประชาชน มีพราหมณ์ คฤหบดีเป็นต้น มาประชุมกัน ตรัสประกาศว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่าน ทราบกันไหมว่า เหตุใดเราจึงได้ราชสมบัติ ? ประชาชนพากัน กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเกล้า ฯ พระเจ้าข้า รับสั่งถามว่า เมื่อเราบูชาต้นไทรต้นโน้นด้วยของหอมเป็นต้น ประคองกระพุ่มมือนบไหว้อยู่ พวกท่านเคยเห็นหรือ ไม่เล่า ? ขอเดชะ เคยเห็นพระเจ้าข้า พระองค์มีพระราชดำรัส ต่อไปว่า ในครั้งนั้น เราตั้งความปรารถนาไว้ว่า ถ้าได้ราชสมบัติ จักกระทำพลีกรรม เราได้ราชสมบัตินี้ด้วยอานุภาพของเทวดานั้น บัดนี้เราจักกระทำพลีกรรมแก่ท้าวเธอ พวกท่านอย่าชักช้าเลย พากันเตรียมพลีกรรมแก่เทวดาเป็นการเร็วเถิด พวกอำมาตย์เป็นต้น ทูลถามว่า ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจักจัด สิ่งใดเล่าพระเจ้าข้า ? รับสั่งว่า ท่านทั้งหลาย เมื่อเราบนเทวดา เราได้อ้อนวอนไว้ว่า ข้าพเจ้าจักฆ่าหมู่คนที่พากันประพฤติยึดถือ กรรม แห่งคนทุศีล ๕ ประการ มีฆ่าสัตว์เป็นต้น และที่พากัน ประพฤติยึดถืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ในรัชกาลของข้าพเจ้า แล้วจักทำพลีกรรม ด้วยลำไส้และเลือดเนื้อของคนเหล่านั้น เพราะฉะนั้นพวกท่านจงตีฆ้องประกาศไปว่า พระราชาของพวกเรา ครั้งดำรงพระยศเป็นอุปราชอยู่นั่นแล ทรงบนเทวดาไว้อย่างนี้ ว่า ถ้าทรงครองราชสมบัติ จักให้ฆ่าคนที่ปรากฏว่าทุศีลในรัชกาลให้หมด แล้วกระทำพลีกรรม บัดนี้พระองค์มีพระราชประสงค์ จะให้ฆ่าคนที่ประพฤติ ยึดถือกรรมของคนทุศีล ๕ ประการ ซึ่ง เป็นคนทุศีลประมาณพันคน แล้วให้เอาเครื่องใน มีหัวใจ เป็นต้น ของคนเหล่านั้น ไปทรงกระทำพลีกรรมแก่เทวดา ชาวพระนครทั้งหลายจงรู้ไว้อย่างนี้เถิด ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงประกาศ พระราชประสงค์ว่า คราวนี้นับแต่บัดนี้ไป เราจักต้องฆ่าคนที่ ประพฤติกรรมของคนทุศีลให้ถึงพันคน บูชายัญ จึงจักพ้นจากการบน
พวกอำมาตย์ฟังพระดำรัสของพระโพธิสัตว์แล้ว ก็รับพระบรมราชโองการว่า ชอบด้วยเกล้าฯ พระเจ้าข้า แล้วเที่ยวตีกลองป่าวประกาศไปทั่วเมืองพาราณสี อันมีปริมณฑล ๑๒ โยชน์ ชาวประชาทั่วไป ฟังอาญาจากการตีกลองป่าวประกาศ แล้วจะหาคนที่ยึดถือทุศีลกรรม แม้เพียงข้อเดียวสักคนหนึ่งก็ไม่ได้ ด้วยกุสโลบายอันแนบเนียนนี้ ตลอดเวลาที่พระโพธิสัตว์ ครองราชสมบัติอยู่ บุคคลที่กระทำกรรม ในบรรดาทุศีลกรรม ๕ ประการ หรือ ๑๐ ประการ แม้เพียงข้อเดียวก็ไม่ปรากฏเลย พระโพธิสัตว์มิได้ทรงให้บุคคลแม้เพียงคนเดียวลำบาก โปรด ชาวแว่นแคว้นทั่วหน้า ให้รักษาศีล แม้พระองค์เอง ก็ทรงบำเพ็ญ บุญมีการให้ทานเป็นต้น ในเวลาสิ้นพระชนม์ ก็ทรงพาบริษัทของพระองค์ไปแน่นเทวนครด้วยประการฉะนี้.
แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่โลก แม้ในกาลก่อน ก็ประพฤติแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
บริษัทในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้
ส่วนพระเจ้ากรุงพาราณสี ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบทุมเมธชาดก