ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๙. อปายิมหวรรค
สุราปานชาดก
โทษของการดื่มสุรา
พระบรมศาสดาทรงอาศัยพระนครโกสัมพี ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ทรงปรารภพระสาคตเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
สาคตภิกษุแสดงฤทธิ์ปราบพญานาค
โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จจาริกในเจติยชนบท ได้ทรงดำเนินไปทางตำบลภัททวติกะ (บ้านรั้วงาม) ที่ใกล้ กรุงโกสัมพี ณ ที่ตำบลนั้น ในอดีตได้เกิดเหตุขึ้น ด้วยมีพวกชนในตำบลนั้นมากด้วยกันเป็นศัตรูของนายเรือเก่าที่ท่าน้ำ ตีนายเรือนั้นตาย นายเรือนั้นตั้งความปรารถนาด้วยจิตที่ขุ่นแค้น บังเกิดเป็นนาคราชมีอานุภาพมาก อยู่ที่ที่ท่าเรือนั้นนั่นแหละ และด้วยความแค้นเคืองชาวบ้านในตำบลนั้น พญานาคนั้นจึงบันดาลให้ฝนตกในเวลาที่มิใช่หน้าฝน ไม่ให้ฝนตกในเวลาหน้าฝน ข้าวกล้า ก็ไม่สมบูรณ์ พวกชาวตำบลนั้นต้องทำการเซ่นสังเวยทุกปี สร้างศาลหลังหนึ่งให้นาคราชนั้นอยู่ เพื่อให้นาคราชนั้นสงบ
โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จจาริกในเจติยชนบท ได้ทรงดำเนินไปทางตำบลภัททวติกะ (บ้านรั้วงาม) ทรงมีพระประสงค์จะประทับอยู่คืนหนึ่ง ณ ที่นั้น คนเลี้ยงโค คนเลี้ยงปศุสัตว์ คนชาวนา คนเดินทาง ได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคกำลังทรงดำเนินมาแต่ไกล ก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระองค์อย่าได้เสด็จไปยังท่าอัมพะ (ท่ามะม่วง) เลย พระพุทธเจ้าข้า เพราะที่ท่ามะม่วงมีนาคชื่ออัมพติฏฐกะอาศัยอยู่ในอาศรมชฏิล เป็นสัตว์มีฤทธิ์เป็นอสรพิษร้าย มันจะได้ไม่ทำร้ายพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทำเป็นเหมือนไม่ทรงได้ยินถ้อยคำของคนเหล่านั้นถึงเมื่อพวกนั้น กราบทูลห้ามอยู่ถึง ๓ ครั้ง ก็คงเสด็จไปจนได้ ครั้งนั้นพระสาคตเถระเป็นพุทธอุปัฏฐาก พระเถระนี้ทราบว่า มีนาคราชดุอยู่ที่นั้น จึงคิดว่า ควรจะทรมานนาคราชนี้ให้หายพยศแล้วจัดแจงที่ประทับอยู่สำหรับพระศาสดา ดังนี้แล้ว ได้เข้าไปยังโรงบูชาไฟ ปูเครื่องลาดที่ทำด้วยหญ้า นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า นาคนั้นพอแลเห็นท่านพระสาคตะเข้ามาดังนั้น เห็นเป็นการลบหลู่อำนาจของตนจึงเกิดความดุร้ายขุ่นเคือง โกรธว่า สมณะโล้นนี้ชื่อไร จึงบังอาจเข้าไปนั่งยังที่อยู่ของเรา แล้วบันดาลควันขึ้นในทันใด ท่านพระสาคตะก็บันดาลควันขึ้นข่ม มันทนความลบหลู่ไม่ได้ จึงพ่นไฟสู้ในทันที แม้ท่านพระสาคตะก็เข้าเตโชธาตุกสิณสมาบัติ บันดาลไฟต้านทานไว้ ครั้นท่านครอบงำไฟของนาคนั้นด้วยเตโชกสิณแล้ว นาคคิดว่าภิกษุรูปนี้ใหญ่จริงหนอ จึงหมอบกราบลงแทบเท้าพระเถระกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพระเจ้า ขอถึงท่านเป็นสรณะ พระเถระบอกว่า กิจด้วยสรณะสำหรับเราไม่มีดอก ท่านจงถึงพระทศพลเป็นสรณะเถิด นาคนั้นรับคำว่า ดีละ แล้วเป็นผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่นั้น นาคก็ไม่เบียดเบียนใคร ๆ ทำฟ้าฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สมบูรณ์พูนผล เรื่องราวที่พระสาคตเถระทรมานนาค แผ่ไปทั่วชนบท
สาคตภิกษุดื่มเหล้าเมาจนหมดสติ
ส่วนพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลบ้านรั้วงาม ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จหลีกไปสู่จาริกทางพระนครโกสัมพี พวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพีได้ทราบข่าวว่า พระคุณเจ้าสาคตะได้ทรมานอัมพติตถนาคผู้อยู่ ณ ตำบลท่ามะม่วงได้แล้ว ต่างคอยการเสด็จมาของพระศาสดา จัดแจงสักการะเป็นอันมากสำหรับถวายพระทศพล พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับถึงพระนครโกสัมพี จึงพวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพีพากันรับเสด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาท่านพระสาคตะ กราบไหว้แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วถามท่านว่า ท่านขอรับอะไรเป็นของหายากและเป็นของชอบของพระคุณเจ้า พวกกระผมจะจัดของอะไรถวายดี
เมื่อเขาถามอย่างนั้นแล้ว พระเถระก็นิ่งเสีย แต่พระฉัพพัคคีย์ (พวกภิกษุเหลวไหลทั้ง ๖ที่ชอบก่อเรื่องเสียหายทำให้พระพุทธเจ้าต้องทรงบัญญัติสิกขาบทหลายข้อ) ได้กล่าวตอบคำนี้กะพวกอุบาสกว่า มี ท่านทั้งหลาย สุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบ พวกบรรพชิตหาได้ยากนัก และก็เป็นของชอบใจด้วย ถ้าพวกท่านเลื่อมใสพระเถระละก็จัดสุราสีแดงดังสีเท้านกพิราบมาถวายเถิด
ครั้งนั้น พวกอุบาสกชาวพระนครโกสัมพี ได้จัดเตรียมสุราใสสีแดงดังเท้านกพิราบไว้ทุกๆ ครัวเรือน พอเห็นท่านพระสาคตะเดินมาบิณฑบาต ก็พากันถวายน้ำนั้น บ้านละหน่อยๆ พระเถระถูกผู้คนทั้งหลายคะยั้นคะยอ เพราะยังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบท ก็ดื่มทุกเรือนหลังละหน่อยๆ เดินไปไม่ไกลนักก็สิ้นสติล้มลงที่กองขยะ เพราะไม่มีอาหารรองท้อง
พระศาสดาทรงบัญญัติสิกขาบท
พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากเมืองพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระสาคตะล้มกลิ้งอยู่ที่ประตูเมือง จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงช่วยกันหามสาคตะไป
ภิกษุเหล่านั้นรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว หามท่านพระสาคตะไปสู่อารามให้นอนหันศีรษะไปทางพระผู้มีพระภาค แต่ท่านพระสาคตะกลับนอนเหยียดเท้าไปเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาคตะมีความเคารพ มีความยำเกรงในตถาคตมิใช่หรือ”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “เป็นดังรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เออก็บัดนี้ สาคตะมีความเคารพ มีความยำเกรงในตถาคตอยู่หรือ”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ข้อนั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาคตะได้ต่อสู้กับนาคอยู่ที่ตำบลท่ามะม่วงมิใช่หรือ”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ใช่ พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เดี๋ยวนี้สาคตะสามารถจะต่อสู้แม้กับงูน้ำได้หรือ”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย น้ำที่ดื่มเข้าไปแล้วถึงวิสัญญีภาพนั้นควรดื่มหรือไม่”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ไม่ควรดื่ม พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของสาคตะไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนสาคตะจึงได้ดื่มน้ำที่ทำผู้ดื่มให้เมาเล่า การกระทำของสาคตะนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้” ว่าดังนี้:
พระบัญญัติ
๑๐๐ ๑ เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะดื่มสุราและเมรัย
พระเถระบรรลุพระอรหัต
วันรุ่งขึ้น ท่านได้สติ ฟังเขาเล่าถึงเหตุที่ตนได้กระทำลงไปแล้ว ก็แสดงโทษที่ล่วงเกิน ขอให้พระทศพลงดโทษแล้ว เกิดความสลดใจ เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต
พระพุทธองค์แสดงชาดกเรื่องภิกษุดื่มสุราในอดีต
ภิกษุทั้งหลายประชุมในธรรมสภา พูดถึงโทษของการดื่มสุราว่า ผู้มีอายุทั้งหลายขึ้นชื่อว่า การดื่มสุรามีโทษใหญ่หลวงถึงกับกระทำให้พระสาคตะผู้ได้นามว่า สมบูรณ์ด้วยปัญญา มีฤทธิ์ กลับไม่รู้แม้แต่คุณของพระศาสดา จึงได้กระทำอย่างนั้น พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่า ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกบรรพชิตดื่มสุราแล้ว พากันสลบไสล มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนก็ได้เป็นแล้วเหมือนกัน ดังนี้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ในแคว้นกาสี เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤๅษี ได้อภิญญาและสมาบัติ พำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ แวดล้อมด้วยอันเตวาสิกประมาณ ๕๐๐
ครั้นถึงฤดูฝน พวกอันเตวาสิกพากันเรียกท่านว่า ท่านอาจารย์ขอรับ พวกเราพากันไปแดนมนุษย์ บริโภคของเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ แล้วค่อยมากันเถิด ฤๅษีพระโพธิสัตว์กล่าวว่า อาวุโส เราจะคอยอยู่ในที่นี้แหละ พวกเธอพากันไปบำรุงร่างกาย จนฤดูฝนผ่านไป แล้วจึงพากันกลับมาเถิด
อันเตวาสิกเหล่านั้นรับคำว่า ดีแล้วขอรับ พากันกราบลาอาจารย์ไปสู่พระนครพาราณสี พักอยู่ในพระราชอุทยาน ครั้นวันรุ่งขึ้นก็พากันไป เที่ยวภิกษาจารในบ้านภายนอกประตูพระนคร ได้รับความเกื้อกูลอย่างดี รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง จึงพากันเข้าไปสู่พระนคร พวกมนุษย์พากันชื่นชมถวายภิกษา ล่วงมา ๒-๓ วัน ก็พากันกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ ฤๅษี ๕๐๐ รูป พากันมาจากป่าหิมพานต์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน มีตบะกล้า มีศีล พระราชาทรงสดับคุณของฤๅษีเหล่านั้นเสด็จสู่อุทยาน ทรงนมัสการแล้วกระทำการปฏิสันถาร ผเดียงให้อยู่ในพระอุทยานนั้นแหละตลอด ๔ เดือนฤดูฝน นับแต่นั้นฤๅษีเหล่านั้น ก็พากันฉันในพระราชวังแห่งเดียว พำนักอยู่ ณ พระราชอุทยาน
อยู่มาวันหนึ่ง ในพระนครได้มีงานนักขัตฤกษ์ ชื่อว่าสุรานักษัตร พระราชาทรงพระดำริว่า อันว่าสุรานั้น พวกบรรพชิตหาได้ยาก จึงรับสั่งให้ถวายสุราอย่างดีเป็นอันมากถวายแก่พวกดาบส พวกดาบสดื่มสุราแล้วพากันกลับไปอุทยาน ต่างก็เมาสุรา บางพวกลุกขึ้นฟ้อนรำ บางพวกขับร้อง ครั้นฟ้อนรำขับร้องแล้วก็พากันนอนหลับทับบริขาร มีไม้คานเป็นต้น พอสร่างเมา พากันตื่น เห็นอาการอันวิปริตของตนนั้น ต่างก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า พวกเรามิได้กระทำการอันสมควรแก่บรรพชิตเลย กล่าวกันว่า พวกเราจากท่านอาจารย์มา พากันกระทำกรรมอันเลวถึงเพียงนี้ ทันใดนั้นเอง ก็พากันทิ้งอุทยานกลับไปป่าหิมพานต์ เก็บบริขารไว้เรียบร้อยแล้ว พากันไหว้อาจารย์นั่งอยู่แล้ว
ท่านอาจารย์ถามว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่านมิได้ลำบากด้วยภิกษา พากันอยู่สบายในถิ่นของมนุษย์หรือไฉน อนึ่งพวกเธอยังจะอยู่กันด้วยความสมัครสมานสามัคคีอยู่หรือ เหล่าดาบสผู้เป็นศิษย์พากันกราบเรียนว่า ท่านอาจารย์ขอรับ พวกกระผมอยู่กันอย่างสบาย ก็แต่ว่า พวกผมพากันดื่มในสิ่งไม่ควรดื่ม สลบไสลไปตาม ๆ กัน ไม่อาจดำรงสติได้ พากันขับร้องฟ้อนรำตามเรื่อง เมื่อแจ้งเรื่องนั้นแล้ว ก็พากันยกคาถานี้เรียนอาจารย์ว่า :
"พวกกระผมได้พากันดื่ม ได้ชวนกันฟ้อน พากันขับร้อง
แล้วก็พากันร้องไห้ เพราะดื่มสุราที่ทำให้สัญญาวิปริต
เห็นดีแต่ที่มิได้กลายเป็นลิงไปเสียเลย"
บทข้างต้นมีความหมายว่า
พวกกระผมพากันดื่มสุรา ครั้นดื่มสุราแล้ว ก็คะนองมือคะนองเท้า พากันฟ้อนรำ เปิดปากร้องเพลงด้วยเสียงอันยืดยาว
ครั้นสร่างเมาแล้ว กลับมีวิปฏิสาร พากันร้องไห้ว่า พวกเราทำกรรมไม่สมควรเห็นปานนี้
เหตุเพราะดื่มสุรา ที่ชื่อว่า กระทำให้สัญญาวิปริต เพราะทำลายสัญญาเสียได้ถึงเพียงนี้ ข้อนั้นยังดี ที่พวกข้าพเจ้าไม่กลายเป็นลิงไปเสียหมด
พวกอันเตวาสิกเหล่านั้น พากันกล่าวโทษของตน ด้วยประการฉะนี้
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า นรชนที่เหินห่างจากการอยู่ร่วมกับครู ย่อมเป็นเช่นนี้ได้ทั้งนั้น ตำหนิดาบสเหล่านั้นแล้วให้โอวาทว่า พวกท่านอย่ากระทำกรรมเห็นปานนี้ต่อไปอีก
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
คณะฤๅษีในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท
ส่วนศาสดาของคณะ ได้มาเป็นเราตถาคต
จบ สุราปานชาดก