พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๗. อิตถีวรรค

อสาตมันตชาดก

ว่าด้วยหญิงเลวทราม

 

พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภภิกษุผู้กระสัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

เรื่องของภิกษุนั้น จักแจ่มแจ้งใน อุมมาทันตีชาดก (เรื่องย่อ ๆ มีว่า) ก็พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่าหญิงส่วนมาก ไม่น่ายินดี ไร้สติ ลามก เป็นผู้มีเบื้องหลังเธอจะกระสันปั่นป่วนเพราะหญิงเลว ๆ เช่นนี้ทำไม แล้วทรงนำ เรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ เมือง ตักกสิลา คันธารรัฐ เมื่อเติบใหญ่แล้ว เรียนจบไตรเพทและศิลปะทั้งปวง ได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ครั้งนั้น ในกรุงพาราณสีมีตระกูลพราหมณ์ตระกูลหนึ่ง ตั้งแต่วันที่บุตรเกิด ก็จุดไฟตั้งไว้ไม่ให้ดับเลย ครั้นในเวลาที่พราหมณ์กุมารมีอายุได้ ๑๖ ปี มารดาบิดาจึงกล่าวว่า ลูกเอ๋ย เราจุดไฟตั้งไว้ในวันที่เจ้าเกิดเรื่อยมา หากเจ้าประสงค์จะไปสู่พรหมโลก จงถือไฟนั้นเข้าป่า บูชาพระอัคนีเทพ เจ้าก็จะไปถึงพรหมโลกได้ ถ้าประสงค์จะครองเรือน ก็จงไปสู่เมืองตักกสิลา เล่าเรียนศิลปะในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ แล้วตั้งหลักฐานเถิด.

มาณพกล่าวว่า ฉันไม่อาจจะเข้าป่าบูชาไฟ มุ่งจะตั้งหลักฐานเท่านั้น แล้วกราบมารดาบิดา รับเอาเงินพันกระษาปณ์ เป็นค่าคำนับอาจารย์ เดินทางไปเมืองตักกสิลา เล่าเรียนศิลปะแล้วกลับมา แต่มารดาบิดาของเขาไม่ต้องการให้ครองเรือน ต้องการให้เขาบำเรอไฟอยู่ในป่า

ลำดับนั้น มารดาปรารถนาจะสำแดงโทษของสตรีแล้วส่งเขาเข้าป่า จึงดำริว่าอาจารย์นั้นคงเป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาด สามารถจะบอกโทษ แห่งสตรีแก่ลูกของเราได้ จึงกล่าวว่า ลูกรัก เจ้าเรียนศิลปะสำเร็จแล้วหรือ มาณพตอบว่า ครับ คุณแม่ มารดาจึงกล่าวว่า แม้อสาตมนต์เจ้าก็เรียนมาแล้วหรือ มาณพตอบว่า ยังไม่ได้เรียนครับ คุณแม่ มารดากล่าวว่า ลูกรัก ถ้าเจ้ายังไม่ได้เรียนอสาตมนต์แล้ว จะเรียกว่า เรียนศิลปะสำเร็จแล้วไม่ได้ ไปเถิด ไปเรียนแล้วค่อยมา

มาณพรับคำแล้ว ก็มุ่งหน้าไปกรุงตักกสิลาอีก แม้มารดาของอาจารย์ทิศาปาโมกข์พระโพธิสัตว์นั้น เป็นหญิงชรา อายุ ๑๒๐ ปี อาจารย์อาบน้ำให้มารดาด้วยมือของตนเอง หาอาหารให้บริโภคเอง หาน้ำให้ดื่มเอง ปรนนิบัติมารดาอยู่ แต่คนอื่น ๆ พากันรังเกียจอาจารย์ผู้กระทำอย่างนั้น อาจารย์ดำริว่า อย่ากระนั้นเลย เราเข้าป่า ปรนนิบัติมารดาในป่านั้นเถิด ครั้นแล้วก็จัดการสร้างบรรณศาลา ในที่มีน้ำท่าสะดวก ในป่าอันเงียบสงัด ตำบลหนึ่ง เสร็จแล้วขนสิ่งของมีเนย และข้าวสารเป็นต้น มาสำรองไว้ อุ้มมารดาพาไปที่นั้น ปรนนิบัติมารดาอยู่สืบมา.

ฝ่ายมาณพไปถึงเมืองตักกสิลาแล้ว ไปพบอาจารย์ ก็สอบถามว่า ท่านอาจารย์ไปไหน ครั้นฟังเรื่องราวนั้นแล้วก็ไปในป่านั้น ไหว้อาจารย์แล้วยืนอยู่ ครั้งนั้นอาจารย์ถามเขาว่า พ่อมหาจำเริญเรื่องราวเป็นอย่างไร เจ้าจึงกลับมาเร็วนัก มาณพตอบว่า ท่านอาจารย์ยังไม่ได้ให้ผมเรียน อสาตมนต์เลยมิใช่หรือขอรับ

อาจารย์ ใครกล่าวเคี่ยวเข็ญให้เจ้าเรียนอสาตมนต์ให้ได้

มาณพ มารดาของกระผมขอรับท่านอาจารย์.

พระโพธิสัตว์ดำริว่า มนต์อะไร ๆ ที่มีชื่อว่า อสาตมนต์ไม่มีเลย แต่มารดาของมาณพนี้คงประสงค์ให้เขารู้โทษของสตรีเป็นแน่ จึงกล่าวว่า ดีละ พ่อคุณ เราจักให้อสาตมนต์แก่เจ้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจงทำหน้าที่แทนเรา ให้มารดาของเราอาบน้ำด้วยมือของตน ให้บริโภคให้ดื่ม ปรนนิบัติสม่ำเสมอ อนึ่งเมื่อเจ้านวดมือเท้าศีรษะและหลังของมารดาเรา ต้องพูดยกย่องมือเท้าเป็นต้น ในเวลาที่กำลังบีบนวดว่า คุณแม่ครับ ถึงคุณแม่จะแก่เฒ่าแล้ว ร่างกายของคุณแม่ก็ยังดูกระชุ่มกระชวยในยามที่คุณแม่ยังสาว ร่างกายของคุณแม่สวยสะคราญปานไฉน ก็แลมารดาของเรากล่าวคำใดกะเจ้า เจ้าไม่ต้องอาย ไม่ต้องอำพราง บอกคำนั้นแก่เราเถิด เจ้าทำอย่างนี้จึงจะได้อสาตมนต์ ไม่ทำก็ไม่ได้

มาณพรับคำว่า ดีแล้วครับท่านอาจารย์ เริ่มแต่วันนี้ ก็กระทำตามที่ข้อที่อาจารย์ชี้แจงทุกอย่าง เมื่อมาณพร่ำรำพันบ่อย ๆ นางก็สำคัญว่า มาณพนี้ต้องการจะอภิรมย์กับเราเป็นแม่นมั่น ทั้ง ๆ ที่แก่เฒ่า ตามืดมน กิเลสก็ยังเกิดขึ้นในสันดานได้ วันหนึ่ง นางจึงกล่าวกะมาณพผู้กำลังกล่าวสรรเสริญร่างกายของตนอยู่ว่า เธอปรารถนาจะร่วมอภิรมย์กับเราหรือ

มาณพ คุณแม่ครับ ผมปรารถนานักแล้ว แต่ (มาติดอยู่ตรง) ท่านอาจารย์ผู้เป็นที่ยำเกรงหนัก.

มารดา ถ้าเธอปรารถนาฉันละก็ จงฆ่าลูกฉันเสียเถิด.

มาณพ ผมเล่าเรียนศิลปะถึงเพียงนี้ ในสำนักของท่านอาจารย์ จะมาฆ่าอาจารย์ เพราะอาศัยเหตุเพียงกิเลส ก็ดูกระไรอยู่

มารดา ถ้าเช่นนั้น ถ้าเธอไม่ทอดทิ้งฉันจริง ฉันนี่แหละจะฆ่าเขาเสียเอง.

ขึ้นชื่อว่า หญิง ส่วนมากไม่น่ายินดี ลามก มีลับลมคมในอย่างนี้ ถึงจะแก่ปานนั้น ก็ยังร่านรัก เริงชู้ ถึงกับมุ่งฆ่าลูก ผู้มีอุปการะเห็นปานนี้ เสียก็ได้.

มาณพบอกถ้อยคำทั้งหมดนั้น แก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ที่เธอบอกมาทุกอย่างนั้น เธอทำถูกแล้ว เมื่อตรวจดูอายุสังขารของมารดา ก็รู้ว่า ต้องตายในวันนี้เป็นแน่ จึงกล่าวว่ามาเถิดมาณพ เราต้องทดลองดู จึงตัดไม้มะเดื่อเข้าต้นหนึ่ง ทำรูปหุ่นเท่าตน คลุมเสียทั่วร่าง วางนอนหงายไว้เหนือที่นอนของตน ผูกราวเชือกไว้ แล้วกล่าวกะศิษย์ว่า พ่อคุณเธอจงถือขวานไปให้สัญญาแก่มารดาของเรา มาณพก็ไปบอกว่า คุณแม่ครับ ท่านอาจารย์นอนเหนือที่นอนของตน บนบรรณศาลา ผมผูกราวเชือกไว้เป็นสำคัญ คุณแม่ถือขวานเล่มนี้ ถ้าสามารถจะฆ่าได้ ก็จงฆ่าเสีย.

นางกล่าวว่า เธอต้องไม่ทอดทิ้งฉันแน่นะ !

มาณพ เหตุไร ผมจักทอดทิ้งเล่า ขอรับ.

นางจึงจับขวาน งก ๆ เงิ่น ๆ เดินไปตามราวเชือก เอามือคลำดู สำคัญแน่ว่า นี่ลูกของเราแล้วเลิกผ้าห่มส่วนหน้าของรูปหุ่นออก เงื้อขวานด้วยคิดว่า จักฟันหนเดียวให้ตายคาที่ แล้วฟันตรงคอทีเดียว เมื่อเกิดเสียงดังกระด้าง จึงได้ทราบว่า ที่ตนฟันนั้นเป็นไม้ ครั้นพระโพธิสัตว์ถามว่า คุณแม่ทำอะไร ขอรับ ก็คิดได้ว่า เราถูกลวงเสียแล้ว ล้มลงตายอยู่ตรงนั้นเอง ได้ยินว่าถึงแม้นางจะนอนอยู่ที่บรรณศาลาของตนโดยไม่คิดจะทำอะไรแล้ว ก็คงจะตายในขณะนั้นแน่นอน ด้วยถึงวาระอายุขัยของตน

พระโพธิสัตว์ทราบอาการที่มารดาตายแล้ว ก็กระทำสรีรกิจ ครั้นดับไฟที่เผาแล้ว ก็บูชาด้วยดอกไม้ป่า พามาณพมานั่งที่ประตูบรรณศาลา กล่าวสอนเขาว่า พ่อคุณ ขึ้นชื่อว่าอสาตมนต์ ที่จัดเป็นวิชาแผนกหนึ่ง โดยเฉพาะไม่มีดอก ก็แต่ขึ้นชื่อว่าหญิงส่วนมาก ไม่รู้จักจืดจาง มารดาของเธอบอกให้เธอเรียนอสาตมนต์แล้วส่งตัวมาถึงสำนักเรา ก็ส่งมาเพื่อให้รู้โทษของหญิงส่วนมาก บัดนี้เธอก็เห็นโทษของมารดาเราโดยประจักษ์แล้ว ด้วยเหตุนี้ พึงทราบเถิดว่า ขึ้นชื่อว่าหญิงส่วนมากไม่รู้จักอิ่มลามก ดังนี้แล้วส่งตัวไป

เขากราบลาอาจารย์ไปสำนักบิดามารดา ครั้งนั้นมารดาถามเขาว่า เจ้าเรียนอสาตมนต์จบแล้วหรือ เขาตอบว่า ครับคุณแม่ มารดาถามว่า คราวนี้จักทำอย่างไร จักบวชจักบำเรอไฟ หรือจักอยู่ครองเรือน มาณพกล่าวว่า คุณแม่ขอรับ ผมเห็นโทษของหญิงโดยประจักษ์แล้ว ไม่ต้องการอยู่ครองเรือนละ ผมจักบวช เมื่อจะประกาศความประสงค์ของตน จึงกล่าวคาถานี้ว่า :

ขึ้นชื่อว่า หญิงในโลก ส่วนมากไม่รู้จัก

ยับยั้ง หาเวลาแน่นอนไม่ได้ ทั้งร่านรัก เริงชู้

กินไม่เลือก เหมือนไฟที่กินได้ทุกอย่าง ข้าพเจ้า

จักหลีกละพวกนางไปบวช เพิ่มพูนวิเวก ดังนี้.

พราหมณมาณพกล่าวว่า คุณแม่ครับ ผมต้องบวช กระทำกสิณบริกรรม ให้สมาบัติทั้ง ๘ และอภิญญาทั้ง ๕ บังเกิดแล้ว จักปลีกกายออกจากหมู่ และพรากจิตจากกิเลส เพิ่มพูนวิเวกนี้ จักเป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า เรื่องเหย้าเรือนสำหรับผม เลิกกันที

พราหมณมาณพ ติเตียนหญิงทั้งหลายนี้ กราบลามารดาบิดาบวชแล้ว เพิ่มพูนวิเวกมีประการดังกล่าวแล้ว ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย ไม่รู้จักจืดจาง ลามก มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ให้ทุกข์อย่างนี้ ทรงแสดงโทษของหญิงทั้งหลาย ประกาศสัจธรรม ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว พระศาสดาทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า

มารดามาณพในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุณี ชื่อ ภัททกาปิลานี ในบัดนี้

บิดาของมาณพได้เป็นพระมหากัสสปะ

มาณพผู้เป็นศิษย์ ได้มาเป็นพระอานนท์

ส่วนอาจารย์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อสาตมันตชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ