ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๔. อสัมปทานวรรค
สุวรรณหังสชาดก
โลภมากลาภหาย
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุณี ชื่อ ถูลนันทา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า อุบาสกคนหนึ่งในพระนครสาวัตถี ปวารณากระเทียมกับภิกษุณีสงฆ์ไว้ และสั่งเสียคนเฝ้าไร่ไว้ด้วยว่า ถ้าภิกษุณีทั้งหลายพากันมาเอา จงให้ไปรูปละ ๒ - ๓ ห่อ นับแต่นั้นภิกษุณีทั้งหลายต้องการกระเทียม ก็พากันไปที่บ้านของเขาบ้าง ที่ไร่ของเขาบ้าง ครั้นถึงวันที่มีมหรสพวันหนึ่ง ในวันนั้นกระเทียมในเรือนของเขาหมด ภิกษุณีถูลนันทาพร้อมด้วยบริวารพากันไปที่เรือนแล้วกล่าวว่า "ผู้มีอายุ ฉันต้องการกระเทียม" คนเฝ้ากล่าวว่า "กระเทียมไม่มีเลยพระแม่เจ้า กระเทียมที่เก็บตุนไว้ หมดเสียแล้ว นิมนต์ไปที่ไร่เถิดขอรับ" ภิกษุณีถูลนันทาพร้อมด้วยบริวารจึงพากันไปที่ไร่ แล้วขนกระเทียมไปอย่างไม่รู้ประมาณ คนเฝ้าไร่จึงกล่าวโทษว่า "เป็นอย่างไรนะ พวกภิกษุณีจึงขนกระเทียมไปอย่างไม่รู้จักประมาณ"
พวกภิกษุณีที่มีความปรารถนาน้อย เมื่อได้ยินคำตำหนิอย่างนั้นแล้วจึงพากันกล่าวโทษขึ้น พวกภิกษุเล่า ครั้นได้ยินจากภิกษุณีเหล่านั้น ก็กราบทูลความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตำหนิภิกษุณีถูลนันทา แล้วทรงแสดงธรรมที่เหมาะกับเรื่องนั้นแก่นางภิกษุณีทั้งหลาย โดยนัย มีอาทิว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า บุคคลผู้มีความปรารถนาอย่างไม่มีประมาณ มิได้เป็นที่รัก เจริญใจ แม้แก่มารดาบังเกิดเกล้า ไม่อาจจะยังผู้ไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส ไม่อาจจะยังผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้เลื่อมใสยิ่งขึ้น ไม่อาจยังลาภที่ยังไม่เกิดให้บังเกิด หรือลาภที่เกิดแล้ว ก็ไม่อาจกระทำให้ยั่งยืนได้ ตรงกันข้าม ผู้ที่มีความปรารถนาน้อย ย่อมอาจยังลาภที่ยังไม่เกิดให้เกิด ที่เกิดแล้วก็ทำให้ยั่งยืนได้" แล้วตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุณีถูลนันทา มีความปรารถนาอย่างไม่มีประมาณ แม้ในครั้งก่อนก็เคยมีความปรารถนาใหญ่เหมือนกัน" แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์สกุลหนึ่ง เมื่อเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาได้ตบแต่งให้มีภรรยาที่มีชาติเชื้อพอสมควรกัน ได้มีธิดา ๓ คน ชื่อนันทา นันทวดี และ สุนันทา ครั้นธิดาเหล่านั้นได้สามีไปแล้วทุกคน พระโพธิสัตว์ ก็ทำกาละไปเกิดในกำเนิดหงส์ทอง และมีญาณระลึกชาติได้อีกด้วย หงส์ทองนั้นเติบใหญ่แล้ว เห็นรูปร่างอันเติบโตสมบูรณ์ งดงามเต็มไปด้วยขนที่เป็นทอง ก็นึกว่า เราจุติจากไหนหนอ จึงมาบังเกิดในที่นี้ ทราบว่า มาจากมนุษยโลก จึงพิจารณาอีกว่า พราหมณีและเหล่าธิดาของเรา ยังมีชีวิตอยู่หรืออย่างไร ก็ได้ทราบว่า ต้องพากันไปรับจ้างคนอื่น เลี้ยงชีพด้วยความแร้นแค้น จึงคิดว่า ขนทั้งหลายในสรีระของเราเป็นทองทั้งนั้น ทนต่อการตี การเคาะ เราจักให้ขนจากสรีระนี้ แก่นางเหล่านั้น ครั้งละหนึ่งขน ด้วยเหตุนั้น ภรรยาและธิดาทั้ง ๓ ของเรา จักพากันอยู่อย่างสุขสบาย
พระยาหงส์ทองจึงบินไป ณ ที่นั้น เกาะที่ท้ายกระเดื่อง พราหมณีและธิดาเห็นพระโพธิสัตว์แล้ว ก็พากันถามว่า "พ่อคุณ มาจากไหนเล่า" หงส์ทองตอบว่า "เราเป็นบิดาของพวกเจ้า ตายไปเกิดเป็นหงส์ทอง มาเพื่อจะพบพวกเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ไป พวกเจ้าไม่ต้องไปรับจ้างคนอื่นเขาเลี้ยงชีวิตอย่างลำบากอีกละ เราจักให้ขนแก่พวกเจ้าครั้งละหนึ่งขน จงเอาไปขายเลี้ยงชีวิตตามสบายเถิด" แล้วก็สลัดขนไว้ให้เส้นหนึ่งบินไป
หงส์ทองนั้นมาเป็นระยะ ๆ สลัดขนให้ครั้งละหนึ่งขน โดยทำนองนี้ พราหมณีและลูก ๆ ค่อยมั่งคั่งขึ้น มีความสุขไปตาม ๆ กัน อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณีปรึกษากับลูก ๆ ว่า "แม่หนูทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเดียรัจฉานรู้ใจได้ยาก ในบางครั้งบิดาของเจ้าไม่มาที่นี่ พวกเราจักทำอย่างไรกัน คราวนี้เวลาเขามา พวกเราช่วยกันจับถอนขนเสียให้หมดเถิดนะ" พวกลูกสาวพากันพูดว่า "ทำอย่างนั้นบิดาของพวกเราจักลำบาก ต่างก็ไม่เห็นด้วย" แต่นางพราหมณีเพราะมีความปรารถนาไม่มีประมาณ ครั้นวันหนึ่งเวลาพระยาหงส์ทองมา ก็พูดว่า "มานี่ก่อนเถิดนายจ๋า" พอพระยาหงส์ทองนั้นเข้าไปใกล้ ก็จับไว้ด้วยมือทั้งสอง ถอนขนเสียหมด แต่เพราะจับถอนเอาด้วยพลการ พระโพธิสัตว์มิได้ให้โดยสมัครใจ ขนเหล่านั้นจึงเป็นเหมือนขนนกยางไปหมด พระโพธิสัตว์ไม่สามารถจะกางปีกบินไปได้ นางพราหมณีจึงจับเอาพระยาหงส์ทองใส่ตุ่มใหญ่ เลี้ยงไว้ ขนที่งอกขึ้นใหม่ของพระยาหงส์นั้น กลายเป็นขาวไปหมด พระยาหงส์นั้น ครั้นขนขึ้นเต็มที่แล้ว ก็โดดขึ้นบินไปที่อยู่ของตนทันที แล้วก็ไม่ได้มาอีกเลย.
พระศาสดาทรงนำเอาเรื่องในอดีตนี้มาสาธก แล้วตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ถูลนันทามีความปรารถนาอย่างไม่มีประมาณ แม้ในครั้งก่อนก็มีความปรารถนาใหญ่เหมือนกัน และเพราะมีความปรารถนาอย่างไม่มีประมาณจึงต้องเสื่อมจากทอง บัดนี้เล่า เพราะเหตุที่ตนมีความปรารถนาอย่างไม่มีประมาณนั่นแหละ จักต้องเสื่อมแม้แต่กระเทียม เพราะฉะนั้นตั้งแต่บัดนี้ จักไม่ได้เพื่อจะฉันกระเทียม แม้นางภิกษุณีที่เหลือทั้งหลาย ผู้อาศัยถูลนันทานั้น ก็จักไม่ได้เพื่อฉันกระเทียม เหมือนอย่างถูลนันทาเช่นกัน เหตุนั้น แม้จะได้มาก ก็จักต้องรู้จักประมาณทีเดียว แต่ได้น้อย ก็ต้องพอใจตามที่ได้เท่านั้น ไม่ควรปรารถนาให้ยิ่งขึ้นไป" แล้วตรัส คาถานี้ความว่า
"บุคคลได้สิ่งใด ควรยินดีด้วยสิ่งนั้น
เพราะความโลภเกินประมาณ ชั่วนัก
นางพราหมณี จับพญาหงส์เสียแล้ว
จึงเสื่อมจากทอง" ดังนี้.
ก็พระศาสดา ครั้นตรัสพระธรรมเทศนานี้ แล้วทรงติเตียน โดยอเนกปริยาย แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ก็นางภิกษุณีรูปใดฉันกระเทียม ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ดังนี้แล้วประชุมชาดกว่า
นางพราหมณีในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุณีถูลนันทา
ธิดาทั้งสามได้มาเป็นพี่น้องหญิงในบัดนี้
ส่วนพระยาสุวรรณหงส์ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ สุวรรณหงสชาดก