พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๑๒. หังสิวรรค

 สิคาลชาดก

ว่าด้วยพราหมณ์เชื่อสุนัข

         พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้ :

         ในสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรม นั่งสนทนากันถึงโทษของพระเทวทัตว่า

          “ผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัต ชักชวนภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ไปสู่คยาสีสประเทศ ให้ภิกษุเหล่านั้น ยึดถือลัทธิของตนว่า พระสมณโคดมตรัสข้อใด ข้อนั้น มิใช่ธรรม เรากล่าวข้อใด ข้อนี้เท่านั้นเป็นธรรม ดังนี้แล้ว กระทำมุสาวาท อันถึงฐานะวิบัติ ทำลายสงฆ์ ทำอุโบสถสองครั้งในสีมาเดียวกัน”

         พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?” เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่เทวทัตมักกล่าวมุสาวาท แม้ในกาลก่อนก็เป็นผู้มีปกติกล่าวมุสาเหมือนกัน” ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

         ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดาอยู่ข้างป่าช้า ในครั้งนั้น ในพระนครพาราณสี มีงานนักขัตฤกษ์เป็นที่ครึกครื้น พวกมนุษย์คิดกันว่า พวกเราจะกระทำพลีกรรมแก่ยักษ์ แล้วจัดปลาและเนื้อเป็นต้นเรียงราย รินสุราเป็นอันมาก ใส่ถ้วยดินเผาทั้งหลายวางไว้ในที่นั้น ๆ มีตรอกและทางแพร่งเป็นต้น

         ครั้งนั้น หมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง เข้าไปสู่พระนครทางท่อระบายน้ำในเวลาเที่ยงคืน เคี้ยวกินปลาและเนื้อเป็นต้น ดื่มสุราแล้วเข้าไป สู่ระหว่างกอต้นบุนนาค นอนหลับไปจนอรุณขึ้น มันตื่นขึ้น เห็นว่าสว่างแล้ว คิดว่า เราไม่อาจออกไปในเวลานี้ได้ แล้วจึงไปที่ใกล้ทางนอนซ่อนตัวอยู่ ถึงเห็นคนอื่น ๆ ก็ไม่พูดอะไร ๆ ต่อเห็นพราหมณ์ผู้หนึ่งกำลังเดินไปล้างหน้า ก็คิดว่า ขึ้นชื่อว่าพราหมณ์ แล้วย่อมเป็นผู้มีความโลภอยากได้ทรัพย์ เราต้องเอาทรัพย์ล่อพราหมณ์นี้ ทำให้แกสะพายเราออกจากเมืองให้จงได้

         มันกล่าวด้วยภาษามนุษย์ว่า “ท่านพราหมณ์”

         พราหมณ์หันกลับไป พูดว่า “ใครเรียกเรา ?”

         มันตอบว่า “ฉันเองท่านพราหมณ์”

         พราหมณ์ ถามว่า “เรียกเราทำไม ?”

         มันตอบว่า “ท่านพราหมณ์ ฉันมีทรัพย์อยู่ ๒๐๐ กหาปณะ ถ้าท่านสามารถกระเดียดฉัน คลุมมิดชิด ด้วยผ้าสะไบเฉียง ไม่ให้ใคร ๆ เห็น พาฉันออกจากเมืองได้ ฉันจักให้เหรียญกษาปณ์เหล่านั้นแก่ท่าน”

         ด้วยความโลภอยากได้ทรัพย์ พราหมณ์จึงรับคำ กระทำตามคำของมัน พาออกจากเมืองไปได้หน่อยหนึ่ง ลำดับนั้น หมาจิ้งจอกถามพราหมณ์ว่า “ท่านพราหมณ์ ถึงไหนแล้ว ?”

         พราหมณ์ตอบว่า “ถึงที่โน้นแล้ว”

         มันบอกว่า “ไปต่อไปอีกหน่อยเถิด”

         สุนัขจิ้งจอกพูดไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น จนลุถึงป่าช้าใหญ่ จึงบอกว่า “วางเราลงที่นี่เถิด”

         ครั้นพราหมณ์ปล่อยมันลงแล้ว หมาจิ้งจอกบอกต่อไปว่า “ท่านพราหมณ์ ถ้ากระนั้น ท่านจงปูผ้าสะไบเฉียงลงเถิด” พราหมณ์ก็ปูผ้าสะไบเฉียงของตนลงด้วยความละโมภในทรัพย์ ครั้งนั้นมันก็บอกแกว่า “จงขุดโคนต้นไม้นี้เถิด ให้พราหมณ์ขุดดินลงไป” พลางก็ขึ้นไปสู่ผ้าสะไบเฉียงของพราหมณ์ ถ่ายมูตร คูถลงไว้๕ แห่ง คือที่มุม ทั้ง ๔ และตรงกลาง เช็ดเสียด้วย ทำให้เปียกด้วย แล้วโดดเข้าป่าช้าไป พระโพธิสัตว์สถิตเหนือคาคบไม้ กล่าวคาถานี้ ความว่า :

              "ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเชื่อสุนัขผู้ดื่มสุราหรือ เพียงร้อยเบี้ยก็ไม่มี อย่าว่าถึง ๒๐๐ กหาปณะเลย" ดังนี้.

         พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้แล้วบอกว่า “ไปเถิดพราหมณ์ จงไปซักผ้าของท่านเสีย อาบน้ำทำกิจของตนไปเถิด” ดังนี้ แล้วก็อันตรธานไป พราหมณ์ทำตามอย่างนั้น แล้วถึงความโทมนัสว่า “โธ่เอ๋ย เราถูกหมาจิ้งจอกตัวนี้ลวงเสียแล้ว เดินหลีกไป.”

         พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

         หมาจิ้งจอกในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัต

         ส่วนรุกขเทวดาได้มาเป็นตถาคต ฉะนี้แล.

จบ สิคาลชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ