ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๓. กุรุงควรรค
อาชัญญชาดก
ว่าด้วยม้าอาชาไนยกับม้ากระจอก
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ละความเพียรเหมือนกัน จึงตรัสธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ก็พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมาแล้วตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน เป็นผู้แม้ได้การประหารทั้งในที่อันมิใช่บ่อเกิด ก็ได้กระทำความเพียร” แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระราชา ๗ องค์พากันล้อมพระนครไว้ โดยนัยมีในเรื่องก่อนนั่นแหละ ลำดับนั้น นักรบประจำรถคันหนึ่ง เทียมรถมีม้าสินธพพี่น้อง ๒ ตัวออกจาก พระนคร ทำลายกองพล ๖ กองพล ได้จับพระราชา ๖ องค์ไว้ ขณะนั้น ม้าผู้พี่ได้รับบาดเจ็บ สารถีจึงส่งรถมายังประตูพระราชวัง ปลดม้าผู้พี่ชายออกจากรถ ทำเกราะให้หลวม แล้วให้นอนตะแคงข้างหนึ่ง เริ่มจะสวมเกราะม้า ตัวอื่น พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น จึงคิดโดยนัยเรื่องก่อนนั่นแหละ แล้วให้ เรียกสารถีมา ทั้งที่นอนอยู่นั่นแลได้กล่าวคาถานี้ว่า
“ไม่ว่าเมื่อใด ที่ใด ขณะใด ณ ที่ใด ๆ ณ เวลาใด ๆ
ม้าอาชาไนยใช้กำลังความเร็ว ม้ากระจอกย่อมถอยหนี.”
สารถีประคองพระโพธิสัตว์ให้ลุกขึ้น เทียมอานแล้วทำลายกองพลที่ ๗ พาเอาพระราชาองค์ที่ ๗ มา ขับรถมายังประตูพระราชวังแล้วปลดม้าสินธพ พระโพธิสัตว์นอนตะแคงข้างหนึ่ง ถวายโอวาทแก่พระราชาโดยนัยเรื่องก่อนนั่นแล แล้วดับไป พระราชารับสั่งให้กระทำฌาปนกิจสรีระของพระโพธิสัตว์นั้น แล้วกระทำสัมมานะแก่สารถีประจำรถ ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม โดยเสมอ เสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้นตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์เถระ
สารถีได้เป็นพระสารีบุตร
ส่วนม้าได้เป็นเราคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล.