พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

 

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๕.อัตถกามวรรค

อารามทูสกชาดก

ฉลาดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ไม่มีความสุข

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภคนประทุษร้ายอุทยาน ในหมู่บ้านโกศลตำบลหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ดังได้สดับมา เมื่อพระบรมศาสดา เสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล ทรงบรรลุถึงหมู่บ้านตำบลหนึ่ง กุฏุมพีในหมู่บ้านนั้นผู้หนึ่ง นิมนต์พระตถาคตเจ้าให้ประทับนั่งในอุทยานของตน ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์เป็นประมุขแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงเสด็จเที่ยวไปในสวนนี้ ตามความพอพระทัยเถิด ภิกษุทั้งหลายก็พากันลุก ชวนนายอุทยานบาล (คนเฝ้าสวน) ไปเที่ยวอุทยาน เห็นที่โล่งเตียนแห่งหนึ่ง จึงถามนายอุทยานบาลว่า อุบาสก อุทยานนี้ ตอนอื่นมีต้นไม้ชะอุ่มร่มรื่น แต่ที่ตรงนี้ไม่มีต้นไม้หรือกอไผ่อะไรเลย ข้อนี้เป็นเพราะเหตุไรหนอ ?

นายอุทยานบาลตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ในเวลาปลูกสร้างอุทยานนี้ มีเด็กชาวบ้านคนหนึ่ง เมื่อจะรดน้ำต้นไม้ ต้องถอนต้นไม้ที่เพิ่งปลูกในที่ตรงนี้ ขึ้นดูรากเสียก่อนแล้วจึงรดน้ำ ตามความสั้นยาวของรากเป็นประมาณ ต้นไม้ปลูกใหม่เหล่านั้น ก็เหี่ยวแห้งตายไม่เหลือ ด้วยเหตุนั้นที่ตรงนี้จึงโล่งเตียนไป ภิกษุ ทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาแล้วจึงกราบทูลเรื่องนั้น พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็กชาวบ้านคนนั้น มิใช่เพิ่งเป็นคนทำลายสวนในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ก็เคยเป็นคนทำลายสวนเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พวกชาวเมืองป่าวร้อง การเล่นนักขัตฤกษ์ในพระนคร จำเดิมแต่กาลที่ได้ยินเสียงกลองประโคมในนักขัตฤกษ์ ชาวพระนครทั่วถ้วนล้วนพากันเที่ยวเล่นการนักขัตฤกษ์ไปมา สนุกสนาน ครั้งนั้น อุทยานของพระราชา มีฝูงลิงอาศัยอยู่เป็นอันมาก คนเฝ้าสวนคิดว่า ในเมืองมีงานนักขัตฤกษ์เอิกเกริก เราบอกให้ลิงเหล่านี้มันรดน้ำต้นไม้ แล้วเราก็จักเล่นนักขัตฤกษ์ได้ แล้วก็ไปหาวานรตัวจ่าฝูง ถามว่า แน่ะ วานรผู้เป็นจ่าฝูง ผู้เป็นสหาย อุทยานนี้มีอุปการะเป็นอย่างมากแก่ท่านทั้งหลาย พวกท่านได้พากันขบเคี้ยวดอกผล และใบอ่อนในอุทยานนี้ บัดนี้ ในพระนครกำลังมีงานนักขัตฤกษ์เอิกเกริก เราจักไปเล่นงานนักขัตฤกษ์กับเขาบ้าง พวกท่านจงช่วยรดน้ำต้นไม้ที่กำลังปลูกใหม่ ๆ ในสวนนี้ ตลอดเวลาที่เรายังไม่มา จักได้ไหม ?

วานร จ่าฝูง รับคำว่า ดีแล้ว พวกเราจักรดน้ำให้ นายอุทยานบาลก็กำชับว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงระมัดระวังอย่าประมาทนะ จัดหากระออมหนัง และกระออมไม้ สำหรับตักน้ำให้แก่พวกวานรแล้วก็ไป พวกวานรพากันถือกระออมหนัง และกระออมไม้ จะไปรดน้ำต้นไม้ ครั้งนั้นวานรจ่าฝูง จึงพูดกะวานรด้วยกัน อย่างนี้ว่า วานรผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมดาน้ำเป็นสิ่งพึงสงวน พวกท่านจักรดน้ำต้นไม้ต้องถอนต้นไม้ขึ้น ถอนขึ้นดูราก ต้นไหน รากหยั่งลึก ต้องรดน้ำให้มาก ต้นไหนรากหยั่งลงไม่ลึก รดแต่น้อย ภายหลังน้ำของเราจักหาได้ยาก พวกวานรต่างรับคำว่า ดีแล้ว พากันทำตามนั้น สมัยนั้น มีบุรุษผู้ฉลาดคนหนึ่ง เห็นพวกวานรในพระราชอุทยานเหล่านั้น พากันทำเช่นนั้น จึงกล่าว ว่า แนะวานรทั้งหลาย เหตุไรพวกท่านจึงถอนต้นไม้อ่อน ๆ ขึ้น แล้วรดน้ำตามประมาณรากอย่างนี้เล่า ? พวกวานรตอบว่า วานรผู้เป็นหัวหน้าสอนไว้อย่างนี้ บัณฑิตฟังคำนั้นแล้ว ดำริว่า อนาถหนอ ลิงโง่ ช่างไม่เฉลียวเสียเลย คิดว่าจักทำประโยชน์ กลับทำความพินาศไปเสียฉิบ แล้วกล่าวว่า :

"การประพฤติประโยชน์ โดยผู้ไม่ฉลาดในประโยชน์ มิได้นำความสุขมาให้เลย

คนโง่ ๆ ทำประโยชน์เสื่อมเหมือนลิงเฝ้าสวน ฉะนั้น"

บุรุษผู้เป็นบัณฑิตนั้น ติเตียนวานรจ่าฝูงนี้แล้ว ก็พาบริษัทของตนออกจากสวนไปด้วยประการฉะนี้.

พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็กชาวบ้านคนนี้ มิใช่จะเพิ่งประทุษร้ายสวนในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้ประทุษร้ายสวนมาแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

วานรจ่าฝูงในครั้งนั้น มาเป็นเด็กชาวบ้านผู้ทำลายสวนในบัดนี้

ส่วนบุรุษผู้เป็นบัณฑิต ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.

จบอารามทูสกชาดก

 

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ