ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๕. กกัณฏกวรรค
สิคาลชาดก
ว่าด้วยทำอุบายนอนตาย
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารชื่อว่าเวฬุวัน ทรงปรารภความตะเกียกตะกายเพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์เอง ของพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความย่อว่า พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของภิกษุทั้งหลายในธรรมสภา แล้วตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อจะฆ่าเรา แม้ในครั้งก่อน ก็เคยตะเกียกตะกายมาแล้วเหมือนกัน แต่ไม่อาจจะฆ่าเราได้ แต่ตนเองต้องลำบากโดยฝ่ายเดียวเท่านั้น" แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดหมาจิ้งจอก ได้เป็นพญาสิงคาล แวดล้อมด้วยหมาจิ้งจอกอยู่ในป่าช้า โดยสมัยนั้น พระนครพาราณสีมีมหรสพ ฝูงคนพากันดื่มสุราโดยมาก ได้ยินว่า มหรสพนั้นเป็นมหรสพที่จัดขึ้นเพื่อการดื่มสุรานั่นเอง ครั้งนั้นพวกนักเลงสุราจำนวนมากชวนกันหาสุราและเนื้อมามากมาย แล้วประดับตกแต่งร่างกาย พากันขับร้องแล้วดื่มสุราไปพลาง กินเนื้อแกล้มไปพลาง พอสิ้นยามแรกชิ้นเนื้อของพวกนั้นก็หมด แต่สุรายังเหลือมากทีเดียว ครั้งนั้นนักเลงสุราคนหนึ่งกล่าวว่า ส่งชิ้นเนื้อให้ชิ้นหนึ่งเถิด เมื่อได้รับคำตอบว่า เนื้อหมดแล้ว ก็พูดว่า "เมื่อข้ายังอยู่ต้องไม่มีคำว่าเนื้อหมด" แล้วกล่าวต่อไปว่า "ข้าจักฆ่าหมาจิ้งจอกที่มากินเนื้อคนตายในป่าช้าผีดิบ เอาเนื้อมันมา" แล้วคว้าไม้พลองออกจากพระนครทางช่องระบายน้ำ ไปสู่ป่าช้า นอนหงายถือพลองทำเป็นคนตาย ขณะนั้น พระโพธิสัตว์แวดล้อมไปด้วยสุนัขจิ้งจอกไปในที่นั้น เห็นเขาแล้ว แม้จะรู้ว่านี่ไม่ใช่คนตาย คิดว่าต้องใคร่ครวญดูให้ละเอียดลออ จึงไปยืนใต้ลมของเขา สูดกลิ่นตัวดู ก็รู้ว่าเขายังไม่ตายอย่างแน่นอนทีเดียว จึงคิดว่าต้องให้เขาได้อาย แล้วจึงจะปล่อยเขาไป จึงเดินไปคาบที่ปลายพลองฉุดมา นักเลงไม่ยอมปล่อยพลอง แม้จะไม่มองดูพญาจิ้งจอกผู้เข้ามาใกล้ ก็คงยึดพลองนั้นไว้แน่นขึ้น พระโพธิสัตว์ถอยกลับไปแล้ว กล่าวว่า "ดูก่อนท่านผู้เจริญ ถ้าท่านเป็นคนตายแล้วจริง เมื่อเราลากพลองมา ก็ไม่น่าจะยึดไว้ได้มั่นคงเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ ท่านจะตาย หรือยังไม่ตาย จึงรู้ชัดได้โดยยากดังนี้"
เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว นักเลงนั้นคิดว่า สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ รู้ความที่เรายังไม่ตาย ก็ลุกขึ้น ขว้างไม้พลองไป ไม้พลองผิดเป้า นักเลงกล่าวว่า ไปเถิดมึง คราวนี้ข้าพลาดไป พระโพธิสัตว์หันกลับมาพูดว่า "ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ถึงแม้ท่านจะพลาดเราไป ท่านก็คงไม่พลาดมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๖ ขุมเป็นแน่นอน" แล้วหลบไป นักเลงไม่ได้อะไร ออกจากป่าช้า อาบน้ำในคู เข้าสู่พระนครตามเดิม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
นักเลงในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต
ส่วนพระยาสิงคาล ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ สิคาลชาดก