ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๕. กกัณฏกวรรค
โคธชาดก
คบคนชั่วไม่มีความสุข
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภภิกษุผู้คบหาฝ่ายผิดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบัน ก็เช่นเดียวกับเรื่องที่กล่าวแล้วใน มหิฬามุขชาดก นั้นแล.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดเหี้ย ครั้นเติบใหญ่แล้ว มีเหี้ยหลายร้อยเป็นบริวาร พำนักอยู่ในโพรงใหญ่ใกล้ฝั่งแม่น้ำ บุตรของพระโพธิสัตว์นั้น ชื่อว่าโคธปิลลิกะ สนิทสนมเป็นเพื่อนเกลอกันกับกิ้งก่าตัวหนึ่ง เย้าหยอกกันกับมัน ขึ้นทับมันไว้ด้วยคิดว่า เราจักกอดกิ้งก่า ฝูงเหี้ยพากันบอกความสนิทสนม ระหว่างโคธปิลลิกะกับกิ้งก่านั้นให้พญาเหี้ยทราบ พญาเหี้ยจึงเรียกบุตรมาหา กล่าวว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าทำความสนิทสนมกันในที่ไม่บังควรเลย ธรรมดากิ้งก่าทั้งหลายมีกำเนิดต่ำ ไม่ควรทำความสนิทสนมกับมัน ถ้าเจ้าขืนทำความสนิทสนมกับมัน สกุลเหี้ยแม้ทั้งหมด จักต้องพินาศเพราะมันแน่นอน ต่อแต่นี้ไปเจ้าอย่าได้ทำความสนิทสนมกับมันเลย" โคธปิลลิกะก็ยังคงทำอยู่เช่นนั้น ถึงแม้พระโพธิสัตว์จะพูดอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่สามารถจะห้ามความสนิทสนมระหว่างเขากับมันได้ จึงดำริว่า อาศัยกิ้งก่าตัวหนึ่ง ภัยต้องบังเกิดแก่พวกเราเป็นแน่ ควรจัดเตรียมทางหนีไว้เมื่อภัยนั้นบังเกิด แล้วจึงให้ทำปล่องลมไว้ข้างหนึ่ง ฝ่ายบุตรของพญาเหี้ยนั้น ก็มีร่างกายใหญ่โตขึ้นโดยลำดับ ส่วนกิ้งก่าคงตัวเท่าเดิม โคธปิลลิกะคิดว่าจักสวมกอดกิ้งก่าเมื่อใดก็โถมทับอยู่เรื่อย ๆ เมื่อนั้นนั้น ในเวลาที่โคธปิลลิกะโถมทับกิ้งก่า เป็นเหมือนเวลาที่กิ้งก่าถูกยอดเขาทับฉะนั้น เมื่อกิ้งก่าได้รับความลำบากเช่นนั้น จึงคิดว่า ถ้าเหี้ยตัวนี้ กอดเราอย่างนี้สักสองสามวันติดต่อกัน เราเป็นตายแน่ เราจักร่วมมือกับพรานคนหนึ่ง ล้างตระกูลเหี้ยนี้เสีย ให้จงได้.
ครั้นวันหนึ่งในฤดูแล้ง เมื่อฝนตกแล้ว ฝูงแมลงเม่าพากันบินออกจากจอมปลวก ฝูงเหี้ยพากันออกจากที่นั้น ๆ กินแมลงเม่า พรานเหี้ยผู้หนึ่งถือจอบไปป่ากับฝูงหมา เพื่อขุดโพรงเหี้ย กิ้งก่าเห็นเขาแล้วก็คิดว่า วันนี้ความหวังของเราสำเร็จแน่ ดังนี้แล้วเข้าไปหาเขา หมอบอยู่ในที่ไม่ห่าง ถามว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านเที่ยวไปในป่าทำไม" พรานตอบว่า "เที่ยวหาฝูงเหี้ย" กิ้งก่ากล่าวว่า "ฉันรู้จักที่อาศัยของเหี้ยหลายร้อยตัว ท่านจงหาไฟและฟางมาเถิด แล้วนำเขาไปที่นั้น" ชี้แจงว่า "ท่านจงใส่ไฟตรงนี้แล้วจุดไฟ ทำให้เป็นควัน วางหมาล้อมไว้ แล้วท่านจงออกไปคอยตีฝูงเหี้ยให้ตาย แล้วเอากองไว้" ครั้นบอกอย่างนี้แล้วก็คิดว่า วันนี้เป็นได้เห็นหลังศัตรูละ แล้วนอนผงกหัวอยู่ ณ ที่ แห่งหนึ่ง
ฝ่ายนายพรานก็จัดการสุมไฟรมเอาควันเข้าไปในโพรง ฝูงเหี้ยพากันสำลักควัน ถูกมรณภัยคุกคาม ต่างรีบออกพากันหนีอย่างลนลาน นายพรานก็จ้องตีตัวที่ออกมา ๆ ให้ตาย ที่รอดพ้นมือพราน ไปได้ก็ถูกฝูงหมากัด ความพินาศอย่างใหญ่หลวงเกิดแก่ฝูงเหี้ย พระโพธิสัตว์รู้ว่า เพราะอาศัยกิ้งก่าภัยจึงบังเกิดขึ้นดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า "ขึ้นชื่อว่าการคลุกคลีกับคนชั่วไม่พึงกระทำ ขึ้นชื่อว่าประโยชน์ย่อมไม่มีเพราะอาศัยคนชั่ว ด้วยอำนาจของกิ้งก่าชั่วตัวเดียว ความพินาศจึงเกิดแก่ฝูงเหี้ยอย่างนี้" แล้วจึงหนีไปทางช่องลมที่ทำเตรียมเอาไว้
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
กิ้งก่าในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต
บุตรพระโพธิสัตว์ชื่อโคธปิลลิกะผู้ไม่เชื่อโอวาท ได้มาเป็นภิกษุผู้คบหาฝ่ายผิด
ส่วนพญาเหี้ย ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ โคธชาดก