ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๘. วรุณวรรค
อิลลีสชาดก
ว่าด้วยคนมีรูปร่างเหมือนกัน
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเศรษฐีชื่อ มัจฉริโกสิยะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ไม่ห่างพระนครราชคฤห์ มีนิคมชื่อว่าสักกระ ในนิคมนั้น มีเศรษฐีผู้หนึ่ง ชื่อว่ามัจฉริโกสิยะ มีสมบัติ ๘๐ โกฏิอาศัยอยู่ ท่านเศรษฐีนั้นแม้เพียงเอายอดหญ้าจุ่มน้ำมัน ให้ทานแก่คนเหล่าอื่นสักหยดเดียวก็ไม่มี ทั้งตนเองก็ไม่ยอมบริโภค ด้วยเหตุนี้ สมบัติของเขาจึงไม่อำนวยประโยชน แก่บุตรและภรรยาเป็นต้น ทั้งแก่สมณพราหมณ์ ตั้งอยู่อย่างไม่ได้แตะต้องใช้สอย เหมือนสระโบกขรณีที่รากษสคุ้มครอง ฉะนั้น.
วันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติ ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูหมู่สัตว์ที่เป็นเผ่าพันธุ์แห่งผู้พอจะทรงแนะนำให้ตรัสรู้ได้ ทั่วโลกธาตุทั้งสิ้น ได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผล ของท่านเศรษฐีพร้อมด้วยภรรยา อันอยู่ไกลถึง ๔๕ โยชน์ เมื่อวันก่อนจากวันนั้น ท่านเศรษฐี ได้ไปสู่พระราชวังเข้าเฝ้าพระราชา ขณะเดินมาเห็นชาวชนบทผู้หนึ่งหิวหนัก กำลังกัดกินขนมเบื้องผสมถั่วกุมมาส เกิดความอยากในขนมนั้น ไปถึงเรือนของตนแล้วดำริว่า ถ้าเราบอกว่า อยากกินขนมเบื้อง คนเป็นอันมากก็จักอยากกินกับเรา เมื่อ เป็นเช่นนี้ สิ่งของเป็นต้นว่า ข้าวสาร เนยใส น้ำอ้อย ของเรา จักต้องสิ้นเปลืองไปเป็นอันมาก เราจักไม่บอกใคร ๆ แล้วสู้อดกลั้นความอยากไว้ เที่ยวไป ครั้นนานหนักเข้า ท่านชักจะผอมเหลือง ตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น ทีนั้นก็ไม่อาจทนอยากอยู่ได้ จึงเข้านอน ซุกบนเตียงน้อย แม้ถึงอย่างนั้นแล้ว ก็ยังไม่ยอมเอ่ยอะไรแก่ใคร ๆ เพราะกลัวเสียทรัพย์ ฝ่ายภรรยาจึงเข้าไปหาท่านลูบหลัง พลางถามว่า “ท่านเจ้าขา ท่านไม่สบายหรือ”
เศรษฐี : “ฉันไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่เป็นอะไรดอก.”
ภรรยา : “พระราชาทรงกริ้วท่านหรือ”
เศรษฐี : “ถึงพระราชาก็มิได้ทรงกริ้วฉัน.”
ภรรยา : “เมื่อเป็นเช่นนั้น จะมีลูกชาย ลูกหญิงเป็นต้น หรือบริวารมีทาสและกรรมกรเป็นต้นพากันทำอะไร ๆ ที่ไม่ พอใจท่านหรือ”
เศรษฐี : “แม้เรื่องอย่างนี้ก็ไม่มีแก่เรา.”
ภรรยา : “ท่านคงนึกอยากจะกินอะไรบ้าง กระมัง”
เศรษฐี พอภรรยาพูดอย่างนี้ ก็ไม่ยอมเอ่ยอะไร ๆ นอนนิ่งเงียบทีเดียว เพราะกลัวเสียทรัพย์ ทีนั้นภรรยาจึงกล่าวกะท่านเศรษฐีว่า “ท่านเจ้าขา บอกเถิด ท่านนึกอยากกินอะไร” ท่านเศรษฐีทำท่าทีกล้ำกลืนถ้อยคำ แล้วกล่าวว่า “จ้ะ ฉันนึกอยากอยู่อย่างหนึ่ง.”
ภรรยา : “อะไรเจ้าคะ ที่ท่านนึกอยาก”
เศรษฐี : “ฉันอยากกินขนมเบื้อง.”
ภรรยา : “เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่บอกเล่าคะ ท่านเป็นคนจนหรือเจ้าคะ คราวนี้ ดิฉันจะทอดขนมเบื้องให้พอแจกชาวสักกระนิคมให้ทั่วถึง.”
เศรษฐี : “เจ้าเอ่ยถึงพวกนั้นทำไม พวกเขาทำงานของตน แล้วก็จักทำกินกันเอง.”
ภรรยา : “ถ้าเช่นนั้นก็ทอดพอแจกพวกตรอกเดียวกันนะคะ ?”
เศรษฐี : “ฉันรู้ละว่า เจ้านะมีทรัพย์มาก.”
ภรรยา : “ถ้าเช่นนั้น ก็ทอดพอแจกกันระหว่างลูกเมียในเรือนเท่านั้น ก็แล้วกันนะเจ้าคะ”
เศรษฐี : “ท่านไปยุ่งกับพวกนั้นทำไม”
ภรรยา : “ถ้าเช่นนั้นก็ทอดพอรับประทานกันระหว่าง ท่านกับดิฉัน นะเจ้าคะ”
เศรษฐี : “ท่านจะมาเกี่ยวด้วยทำไม”
ภรรยา : “ถ้าเช่นนั้น ก็ทอดพอท่านรับประทานคนเดียว ก็แล้วกัน.”
เศรษฐี : “เมื่อทอดที่นี่ คนเป็นอันมากจักพากันมุงดู เจ้าจงขนข้าวสารที่แหลก ๆ เว้นข้าวที่เป็นตัวเสีย ทั้งเตาและกระเบื้องทอด ก็ขนไปด้วย ถือเอานมสด เนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย อย่างละนิด ละหน่อย ขึ้นสู่พื้นโถงบนปราสาทชั้นที่ ๗ แล้วทอดเถิด ฉันคนเดียวเท่านั้น จักนั่งกินที่นั่น.”
ภรรยา รับคำแล้ว ให้คนขนสิ่งของที่ต้องใช้ขึ้นปราสาท ไล่ทาสีลง ให้เชิญท่านเศรษฐีขึ้นไป เศรษฐีปิดประตูชั้นแรก ขัดลิ่มสลักทุกแห่ง ขึ้นสู่พื้นปราสาทชั้น ๗ แม้ในชั้นก็ปิดประตู เสียด้วยแล้วนั่งคอย ฝ่ายภรรยาของท่านเศรษฐีจัดแจง ก่อไฟใส่เตา ยกกระเบื้องขึ้นตั้ง เริ่มจะทอดขนม.
ลำดับนั้น พระบรมศาสดาตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานะ แต่เช้าตรู่ ตรัสว่า “โมคคัลลานะ เศรษฐีตระหนี่ในสักกระนิคม ไม่ห่างไกลพระนครราชคฤห์ผู้นี้” ดำริว่า “เราจักกินขนมเบื้อง กลัวคนอื่น ๆ จะเห็น ให้ภรรยาทอดขนมเบื้องที่พื้นชั้นบนแห่ง ปราสาท ๗ ชั้น ท่านจงไปที่นั่น ทรมานเศรษฐี ทำให้หมดพยศ แล้วให้สามีภรรยาทั้งคู่ ขนขนม นมเนย น้ำผึ้ง น้ำอ้อย พามา สู่พระเชตวัน ด้วยกำลังของตนเถิด วันนี้ตถาคตกับภิกษุ ๕๐๐ จักนั่งคอยในวิหาร จักกระทำภัตตกิจด้วยขนมนั้นแหละ”
พระเถระเจ้าทูลรับสนองพระดำรัสของพระศาสดาว่า “ดีแล้ว พระเจ้าข้า” ไปสู่นิคมด้วยกำลังฤทธิ์ในทันใดนั้นเอง ครองสบงจีวรเรียบร้อย ยืนอยู่ในอากาศตรงช่องหน้าต่าง ปานประหนึ่งรูปที่ทำด้วยแก้วมณีมาลอยอยู่ฉะนั้น เพราะเห็นพระเถระเจ้าเข้าเท่านั้น ท่านมหาเศรษฐีหัวใจสั่น เศรษฐีดำริว่า “เพราะกลัวมนุษย์ประเภทนี้ นี่แหละ เราถึงต้องมาที่นี่ แต่ท่านผู้นี้ยังมาที่ช่องหน้าต่างจนได้ มองไม่เห็นสิ่งที่พอจะถือเอาได้ก็เปล่งเสียง ตฏะ ตฏะ ออกมาด้วยความแค้น เหมือนเอาก้อนเกลือใส่ไปในกองไฟ แตกเพียะพะอยู่ฉะนั้น” แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า “ดูก่อนสมณะ ท่านยืนอยู่ในอากาศจักได้อะไร ถึงจะเดินไปเดินมา แสดงรอยเท้าในอากาศอันหารอยมิได้ ก็จักยังไม่ได้อยู่นั่นเอง”
พระเถระก็เดินจงกรมไปมาอยู่ ณ ที่นั้นเอง เศรษฐีกล่าวว่า “ท่าน จงกรมอยู่จักได้อะไร ถึงจะนั่งขัดสมาธิในอากาศ ก็จักไม่ได้ อะไรเลย” พระเถระเจ้าคู้บัลลังก์นั่งแล้ว
ครั้งนั้นเศรษฐีกล่าวกะพระเถระว่า “นั่งแล้วจักได้อะไรถึงจะมายืนอยู่ที่ธรณีหน้าต่าง ก็จักไม่ได้เลย” พระเถระได้มายืนอยู่ที่ธรณี
ครั้งนั้น เศรษฐีพูดกะท่านว่า “ถึงยืนที่ธรณีแล้วก็จักได้อะไร ต่อให้บังหวนควัน ก็จักไม่ได้อะไร” พระเถระจึงบังหวนควัน ปราสาททั้งนั้น เป็นควันพุ่งไปทั่ว เกิดเป็นดุจเวลาเอาเข็มแทงนัยน์ตาท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีไม่กล้ากล่าวว่า “ถึงจะให้ไฟลุก ก็คงจะไม่ได้ เพราะ กลัวไฟจะไหม้บ้าน” ดำริว่า “สมณะรูปนี้ เกาะเกี่ยวเหนียวแน่น ไม่ได้คงไม่ยอมไป” จึงบอกภรรยาว่า “ดูก่อนนางผู้เจริญ เจ้าจงทอดขนมเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่ง ให้สมณะแล้วส่งท่านไปเสียเถิด” นางตักแป้งหน่อยเดียวเท่านั้นใส่ลงในถาดกระเบื้อง เป็นขนม โตเต็มถาดหมด พองหนาปรากฏอยู่
เศรษฐีเห็นขนมนั้นแล้ว พูดว่า “เจ้าคงใส่แป้งมากเป็นแน่” แล้วเอามุมทัพพีนั่นแหละตักแป้งหน่อยหนึ่งใส่ลงไปเองทีเดียว ขนมกลับใหญ่กว่าอันก่อน ไม่ว่าจะทอดอันใด ๆ อันนั้น ๆ เป็นต้องใหญ่ ๆ ทั้งนั้น เศรษฐีชักเหนื่อย จึงบอกภรรยาว่า “นางเอ๋ย เจ้าจงให้ขนมแก่สมณะ รูปนี้ไปชิ้นหนึ่งเถิด” เมื่อนางหยิบขนมชิ้นหนึ่งออกจากกระเช้า ขนมทุกชิ้น ติดเป็นแผ่นเดียวกันไปหมด นางบอกกะเศรษฐีว่า “ท่านเจ้าคะ ขนมทั้งหมดติดเป็นแผ่นเดียวกันเสียแล้ว ดิฉันไม่อาจจะแยกได้” ท่านเศรษฐีกล่าวว่า “ฉันทำเอง” เมื่อเศรษฐีทำเองแต่ก็ไม่อาจแยกออกได้ เมื่อท่านเศรษฐีพยายามปลุกปล้ำแยกขนมอยู่นั่นแล เหงื่อไหลโทรมร่างกาย ความอยากก็หายไป ลำดับนั้น ท่านเศรษฐีจึงพูด กับภรรยาว่า นี่แน่ะนางผู้เจริญ เราไม่ต้องการขนมแล้วละ เธอจงถวายแก่ภิกษุนี้ทั้งกระเช้าทีเดียวเถิด นางจึงหิ้วกระเช้า เข้าไปหาพระเถระ แล้วถวายขนมทั้งหมดแด่พระเถระเจ้า.
พระเถระเจ้าเมื่อแสดงธรรมแก่คนทั้งสอง ก็กล่าวถึงคุณของพระรัตนะทั้ง ๓ แล้วชี้แจงผลของการให้ทานเป็นต้นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วมีผล การบูชามีผล แจ่มแจ้งประดุจแสดงให้เห็นดวงจันทร์วันเพ็ญ บนพื้นนภากาศฉะนั้น ครั้นฟังธรรมแล้ว มหาเศรษฐีมีจิตผ่องใสกล่าวว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นิมนต์นั่งบนบัลลังก์นี้ ฉันขนมเถิดขอรับ”
พระเถระเจ้ากล่าวว่า “ท่านมหาเศรษฐี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตจักฉันขนม ประทับนั่งในพระวิหารกับภิกษุ ๕๐๐ รูป เมื่อท่านพอใจ จงให้ภรรยาถือขนมและนมเป็นต้น เราจักไปสู่สำนักพระศาสดา” ท่านเศรษฐี ถามว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เดี๋ยวนี้พระศาสดา พระองค์นั้นประทับอยู่ที่ไหนเล่าขอรับ” พระเถระเจ้าตอบว่า “พระองค์ประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน ห่างจากที่นี่ ๔๕ โยชน์” ท่านเศรษฐีกล่าวว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เราจักไปไกลถึงเพียงนี้ โดยไม่ให้ล่วงเวลาภัตได้อย่างไรเล่าขอรับ” พระเถระเจ้ากล่าวว่า “ดูก่อนมหาเศรษฐี เมื่อท่านมีความพอใจ เราจะพาท่านไปด้วยกำลังฤทธิ์ของตน หัวบันไดที่ปราสาทของ ท่านจักปรากฏ ณ ที่ตั้งของตนทีเดียว แต่ที่สุดแห่งบันได จักอยู่ซุ้มพระทวารแห่งพระวิหารเชตวัน เราจักพาท่านไปพระ วิหารเชตวัน ด้วยระยะเวลาเพียงเท่ากาลที่ลงจากปราสาทชั้นบน มาสู่ปราสาทชั้นล่าง” ท่านเศรษฐีรับคำว่า “ดีแล้วขอรับ ท่านผู้เจริญ.”
พระเถระเจ้าก็อธิษฐานว่า ศีรษะบันไดจงอยู่ที่เดิม เชิงบันไดจงมีที่ซุ้มพระทวารพระวิหารเชตวันเถิด การก็ได้เป็นดังคำอธิษฐานของพระเถระเจ้านั่นแหละ ด้วยอาการอย่างนี้ พระเถระเจ้าพาท่านเศรษฐีกับภรรยาลุถึงพระวิหารเชตวัน เร็วกว่าเวลาลงจากปราสาทชั้นบน ถึงปราสาทชั้นล่างเสียอีก ท่านเศรษฐีและภรรยาแม้ทั้งคู่เข้าเฝ้าพระศาสดา กราบทูลภัตตกาลพระศาสดา เสด็จเข้าสู่โรงฉัน ประทับนั่งเหนือพระบวรพุทธอาสน์ที่จัดไว้พร้อมกับภิกษุสงฆ์ ท่านเศรษฐีได้ถวายน้ำทักษิโณทกแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประมุข ภรรยาของท่านเศรษฐีก็ใส่ขนมในบาตรของพระตถาคต พระศาสดาทรงรับขนมพอแก่พระประสงค์ของพระองค์ แม้ภิกษุ ๕๐๐ รูป ก็รับเช่นนั้นเหมือนกัน ถึงท่านเศรษฐีก็เดินถวาย นมสด เนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อยและน้ำตาลกรวดเป็นต้น พระศาสดากับภิกษุ ๕๐๐ รูปกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ท่านมหาเศรษฐีกับภรรยาเล่า ก็รับประทานขนมพอแก่ความต้องการ ขนมทั้งหลายก็ไม่ปรากฏว่าพร่องลงไปเลย แม้ถวายแจกจ่ายแก่พวกภิกษุและคนขอทานในวิหารทั้งสิ้นแล้ว ก็ยังไม่ปรากฏว่าพร่องลงไปอยู่นั่นเอง
ท่านเศรษฐีและภรรยาพากันกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขนมยังไม่หมดเลยพระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านจงเททิ้งเสียที่ซุ้มประตูพระวิหารเชตวันเถิด” สองสามีภรรยาก็ขนไปทิ้งในที่เป็นเงื้อมไม่ห่างซุ้มประตู ที่นั้นจึงปรากฏชื่อว่า "เงื้อมขนมเบื้อง" ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ มหาเศรษฐีกับภรรยาพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำ อนุโมทนา ในเวลาจบอนุโมทนา เศรษฐีและภรรยาแม้ทั้งสองคนก็ดำรงในพระโสดาปัตติผล พากันถวายบังคมพระบรมศาสดา ก้าวขึ้นบันไดสถิตในปราสาทของตน นั่นเอง นับแต่นั้นมา ท่านมหาเศรษฐีก็บริจาคทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ในพระพุทธศาสนา นั่นแล.
วันรุ่งขึ้น เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ในพระนครสาวัตถี แล้วเสด็จมาสู่พระวิหารเชตวัน ประทานสุคโตวาทแก่พวกภิกษุ แล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฏีทรงหลีกเร้น ครั้นเวลาเย็น ภิกษุประชุมกันในธรรมสภา นั่งกล่าวถึงคุณกถาของพระเถระเจ้าอยู่ว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย จงดูอานุภาพของ พระมหาโมคคัลลานเถรเจ้าเถิด ท่านมิได้ทำลายศรัทธา มิได้แตะต้องโภคทรัพย์ ทรมานเศรษฐี ผู้ตระหนี่ครู่เดียวเท่านั้น ก็ทำให้หายพยศได้ ให้ถือขนมชวนมาพระเชตวันเฝ้าพระศาสดา ให้ดำรงในโสดาปัตติผล โอ พระเถระเจ้ามีอานุภาพมาก พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร” เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุผู้ทรมานสกุล ไม่ต้องเบียดเบียนสกุลให้ลำบาก พึงเป็นเหมือน ภมรเคล้าเอาเกสรดอกไม้ เข้าไปใกล้แล้วให้เขารู้พระพุทธคุณ”
เพื่อจะประกาศคุณของพระเถระเจ้าให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่มัจฉริยเศรษฐี ถูกโมคคัลลานะทรมาน แม้ในครั้งก่อน โมคคัลลานะก็เคยทรมานเขา ให้รู้ความสัมพันธ์แห่งกรรม และผลแห่งกรรม มาแล้วเหมือนกัน” แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี เศรษฐี ชื่ออิลลีสะ มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ประกอบด้วย บุรุษโทษหลายสถาน เป็นคนกระจอก ง่อย ตาเหล่ ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ตระหนี่ ไม่ให้แก่คนอื่น และไม่บริโภคด้วยตนเอง แต่มารดาบิดาของท่านเศรษฐีเป็นผู้ให้ทาน เป็นทานบดีมา ๗ ชั่วตระกูล ครั้นอิลลีสะนั้นได้ ตำแหน่งเศรษฐีก็ทำลายสกุลวงษ์เสีย เผาโรงทาน เฆี่ยนขับไล่พวกยาจก เก็บแต่ทรัพย์เท่านั้น
วันหนึ่งอิลลีสะนั้นไปเฝ้าพระราชา ขณะเดินมาเรือนของตน เห็นคนบ้านนอกผู้หนึ่ง เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ถือขวดเหล้ามาขวดหนึ่ง นั่งบนตั่งน้อย รินเหล้าใส่จอกสำหรับดื่มสุรารสเปรี้ยวแล้วดื่มอยู่ แกล้มด้วยแกงอ่อมใส่ปลาร้า อิลลีสะก็นึกอยากดื่มบ้าง คิดว่า ถ้าเราจักดื่มสุรา เมื่อกำลังดื่ม คนเป็นอันมากก็จักอยากดื่มบ้าง ความสิ้นเปลืองทรัพย์ ก็จักมีแก่เรา
เศรษฐีอิลลีสะนั้น อดกลั้นความอยากไว้ ครั้นเวลาผ่านไป ไม่อาจอดกลั้นได้ เลยเป็นคนตัวเหลือง เนื้อตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหมือนใบฝ้ายที่แก่แล้ว ครั้นวันหนึ่ง จึงเข้าห้องนอน เข้าไปซุกอยู่ที่เตียงน้อย ภรรยาเข้าไปลูบหลัง พลางถามว่า “นายท่านไม่สบายเป็นอะไรหรือ” ถ้อยคำทั้งหมด พึงทราบโดยทำนองที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล เมื่อภรรยากล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ดิฉันจะปรุงสุราให้พอแก่ท่านผู้เดียว เท่านั้น”
เศรษฐีดำริว่า “เมื่อปรุงสุราในเรือน คนเป็นอันมากจักต้องมุงมอง ให้ไปซื้อมาจากร้านตลาดแต่ไม่อาจนั่งดื่มในที่นี้ได้” จึงให้เงินไปประมาณมาสกหนึ่ง ให้ไปซื้อเหล้ามาจากตลาดขวดหนึ่ง ให้บ่าวถือออกไปจากเมือง ถึงฝั่งแม่น้ำ หลบเข้าสู่พุ่มไม้พุ่มหนึ่ง ให้บ่าววางขวดเหล้าไว้แล้ว กล่าวว่า “เจ้าไปเถิด” ให้บ่าวไปนั่งเสียไกล รินเหล้าใส่จอกเริ่มดื่มสุรา.
ส่วนบิดาของเศรษฐี อิลลีสะนั้น เกิดเป็นท้าวสักกะในเทวโลก เพราะทำบุญทั้งหลายมีให้ทานเป็นต้น ขณะนั้นท้าวเธอ ดำริว่า ทานของเรายังเป็นไปอยู่หรือไม่หนอ ครั้นไม่เห็นการให้ทานเกิดขึ้น และเห็นบุตรทำลายสกุลวงษ์เสีย เผาโรงทาน ขับไล่พวกจายก ตั้งอยู่ในความตระหนี่ กำลังเข้าพุ่มไม้ดื่มเหล้าเพียงผู้เดียว เพราะกลัวว่า จักต้องให้แก่คนอื่น ๆ ทรงพระดำริว่า เราต้องไปขนาบ ทรมาน อิลลีสะนั้น ให้รู้ความสัมพันธ์แห่งกรรมและผลแห่งกรรม แล้วให้บำเพ็ญทาน ทำให้เขาเหมาะสมที่จะเกิดในเทวโลก
ดังนี้แล้วเสด็จลงมาสู่ถิ่นมนุษย์ ทรงเนรมิตตนให้เป็นเหมือนท่านเศรษฐีอิลลีสะ แล้วเข้าไปสู่พระนครพาราณสี หยุด ณ ทวารพระราชนิเวศน์ ให้กราบทูลการที่ตนมา เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตว่า “จงเข้ามาเถิด” จึงเข้าไปถวายบังคมพระราชาแล้วยืนอยู่
พระราชามีพระดำรัสถามว่า “ดูก่อนท่านมหาเศรษฐี เหตุไฉน ท่านจึงมาผิดเวลาเล่า”
กราบทูลว่า “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า ข้าพระพุทธเจ้ามาโดยประสงค์ว่า ในเรือนของข้าพระพุทธเจ้า มีทรัพย์อยู่ประมาณ ๘๐ โกฏิ ขอพระองค์ได้โปรดให้ขนมาเข้าท้องพระคลังของพระองค์เถิด”
พระราชารับสั่งว่า “อย่าเลย ท่านมหาเศรษฐี ทรัพย์ในวังของเรา มีมากกว่าทรัพย์ของท่าน”
เขากราบทูลว่า “ขอเดชะ ถ้าพระองค์ไม่ต้องพระประสงค์ ข้าพระองค์จะจ่ายทรัพย์ให้ทานตามความพอใจพระเจ้าข้า”
พระราชา รับสั่งว่า “ให้เถิดท่านเศรษฐี” เขารับพระบรมราชานุญาตแล้ว ถวายบังคมพระราชา ออกไปสู่เรือนของอิลลีสเศรษฐี พวกมนุษย์ผู้เป็นอุปัฏฐากทุกคนก็พากันแวดล้อม ไม่มีผู้ใดแม้สักคนหนึ่งที่จะสามารถรู้ว่า ท่านผู้นี้มิใช่อิลลีสเศรษฐี
ครั้นท้าวสักกเทวราช เข้าสู่เรือนแล้ว ยืนที่ธรณีด้านใน เรียกนายประตูมาสั่งว่า “ผู้อื่นคนใดมีรูปคล้ายเราพยายามจะเข้ามาแล้วกล่าวว่า นี่เรือนของเรา พวกเจ้าพึงเฆี่ยนหลังคนนั้น แล้วไล่ไปเสีย” แล้วขึ้นสู่ปราสาทนั่งเหนืออาสนะอันโออ่า ให้เชิญภรรยาท่านเศรษฐีมาหา แสดงอาการอย่างท่านเศรษฐีไม่มีผิด กล่าวว่า “นางผู้เจริญเราให้ทานกันเถิด” ภรรยา บุตร ธิดา และทาส กรรมกรได้ยินถ้อยคำของท้าวเธอนั้นแล้วพากันกล่าวว่า “ตลอดกาลนานเห็นปานนี้ ความคิดที่ท่านจะให้ทานไม่มีเลย แต่วันนี้ดื่มสุราแล้ว เกิดใจดีอยากให้ทานเป็นแน่”
ทีนั้น ภรรยาท่านเศรษฐี จึงกล่าวว่า “ท่านเจ้าคะ เชิญท่านให้ตามพอใจเถิด” ท้าวเธอกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น “เธอจงเรียกคนตีกลองมา ให้นำกลองไปเที่ยวตีประกาศทั่วพระนครว่า ผู้ที่ต้องการเงินทอง แก้วมณีและมุกดาเป็นต้น จงพากันไปสู่เรือนของอิลลีสเศรษฐี” คนตีกลองได้กระทำอย่างนั้นแล้ว มหาชนต่างพากันถือภาชนะมีกระเช้า กระทอเป็นต้น ไปชุมนุมกันที่ประตูเรือน ท้าวสักกะทรงให้เปิดห้องอันเต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการหลายห้อง กล่าวว่า “เราขอให้แก่พวกท่าน พวกท่านจงพากันขนเอาไปจนพอต้องการเถิด มหาชนพากันขนทรัพย์ออกไปกองไว้ที่พื้นโถง บรรจุลงภาชนะที่นำมาจนเต็มแล้ว จึงพากันไป.”
ฝ่ายมนุษย์ชาวชนบทคนหนึ่ง เทียมโคคู่ของอิลลีสเศรษฐี ที่รถของท่านนั่นแหละ บรรทุกเต็มไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ ออกจากพระนครเดินไปตามทางหลวง ขับรถไปไม่ห่างพุ่มไม้นั้น ขับไปพลาง กล่าวถึงคุณของท่านเศรษฐีไปพลางว่า “เจ้าพ่อคุณ เอ๋ย ท่านอิลลีสเศรษฐี จงมีชีวิตอยู่ถึงร้อยปีเถิด คราวนี้เราไม่ต้องทำการงานเลี้ยงชีพไปจนตลอดชีวิตแล้ว เพราะอาศัยท่าน รถนี่ก็ของท่าน โคคู่ก็เป็นของท่านเหมือนกัน แก้ว ๗ ประการ ก็ในเรือนของท่าน มารดาเล่าก็มิได้ให้ บิดาก็มิได้ให้ เราได้เพราะอาศัยท่านแท้ ๆ”
อิลลีสเศรษฐี ฟังเสียงนั้นแล้ว เกิดกลัว หวาดผวาฉุกใจคิดว่า คนผู้นี้เอาชื่อของเรามากล่าวอ้างถึงเรื่องนี้ ๆ พระราชาพระราชทานทรัพย์ของเราแก่ชาวโลกเสียละกระมังหนอ โผล่ออกจากพุ่มไม้ จำโคและรถได้ กล่าวตวาดว่า “เฮ้ย ไอ้บ่าวชาติชั่ว โคก็ของกู รถก็ของกู พลางวิ่งไปจับโคที่สายตะพาย” คหบดีก็ลงจากรถกล่าวว่า “เฮ้ย! ไอ้บ่าวชั่ว ท่านอิลลิสเศรษฐีให้ทานแก่คนทั้งเมือง มึงเป็นอะไรเล่า” พลางวิ่งไปหา ทุบที่ต้นคอ เหมือนฟ้าฟาด แล้วดึงรถมาขับต่อไป
ฝ่ายท่านอิลลีสเศรษฐีลุกขึ้นงันงก ปัดฝุ่นแล้ววิ่งไปยึดรถไว้อีก คหบดีก็ลงจากรถ จิกผมให้ก้มลงถองด้วยศอก จับคอเหวี่ยงกลับไปในทางที่มา แล้วก็หลีกไป พอโดนเข้าอย่างนี้ ความเมาสุราของท่านเศรษฐีก็หายเป็นปลิดทิ้ง งก ๆ เงิ่น ๆ เดินไปที่ประตูนิเวศน์อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นมหาชนพากันขนทรัพย์ของตนไป ก็ตะโกนว่า “พ่อคุณ นี่มันเรื่องอะไรกัน พระราชารับสั่งให้มารุมปล้นทรัพย์ของข้าหรือไร” แล้วไปจับคนนั้น ๆ ไว้ คนที่ถูกจับก็ช่วยกันทุบตีจนล้มลงใกล้เท้านั่นเอง
เศรษฐีเจ็บปวดหนัก มุ่งจะเข้าเรือน พวกเฝ้าประตูพากันร้องว่า “เฮ้ย ไอ้คฤหบดีตัวร้าย มึงจะเข้าไปไหน” พลางหวดด้วยเรียวไผ่ จับคอไสออกไป เศรษฐีคิดว่า คราวนี้เว้นพระราชาแคว้น ใครอื่นที่จะเป็นที่พำนักของเรา ไม่มีแล้ว ไปสู่ราชสำนัก กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์สั่งให้คนปล้นเรือนของข้าพระองค์หรือพระเจ้าข้า”
พระราชารับสั่งว่า “ท่านเศรษฐี เราไม่ได้ให้ปล้น ท่านนั่นแหละ มาหาเราบอกว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงรับไว้ ข้าพระองค์จักให้ทรัพย์ของข้าพระองค์เป็นทาน ให้คนเที่ยวตีกลองป่าวร้องในพระนคร แล้วได้ให้ทานมิใช่หรือ”
เขากราบทูลว่า “ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์มิได้มาสู่สำนักของพระองค์เลย พระองค์ไม่ทรงทราบความที่ข้าพระองค์เป็นคนตระหนี่ หรือพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่ยอมให้แม้หยดน้ำมันด้วยปลายหญ้า แก่ใคร ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอได้ทรงพระกรุณา โปรดเรียกคนที่ให้ทานนั้นมา ทรงพิจารณาเถิด พระเจ้าข้า.”
พระราชารับสั่งให้เรียกท้าวสักกะที่แปลงตนเป็นท่านเศรษฐีมา ความต่างกันของคนทั้งสอง พระราชาก็ไม่ได้ทรงทราบเลย พวกอำมาตย์ก็ไม่ทราบ ท่านเศรษฐีผู้ตระหนี่กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ทรงจำไม่ได้หรือ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นเศรษฐี คนนี้มิใช่เศรษฐี”
พระราชารับสั่งว่า “เราจำไม่ได้ ยังมีใครที่พอจะจำท่านได้บ้างเล่า”
กราบทูลว่า “ภรรยาของข้าพระองค์ซิ พระเจ้าข้า”
มีพระกระแสรับสั่งให้ภรรยาเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่า “สามีของเธอคนไหน”
นางกราบทูลว่า “คนนี้พระเจ้าข้า” แล้วได้ยืนใกล้ท้าวสักกะนั่นเอง
เรียกบุตรธิดา ทาส กรรมกร มาถาม ทุกคนพากันยืนในสำนักของท้าวสักกะทั้งนั้น
ท่านเศรษฐี กลับคิดได้ว่า ที่ศีรษะของเรามีปุ่มอยู่ ผมปิดไว้มิดชิด มีแต่ ช่างกัลบกคนเดียวเท่านั้นที่รู้ปุ่มนั้น ต้องกราบทูลให้เรียกช่างกัลบกมา คิดดังนี้แล้ว จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ช่างกัลบกคงจำข้าพระองค์ได้ โปรดทรงพระกรุณาเรียกเขา มาเถิด พระเจ้าข้า”
ก็ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นช่างกัลบกของท่านอิลลีสเศรษฐี พระราชามีพระกระแสรับสั่งให้เรียก ท่านมาตรัสถามว่า “จำอิลลีสเศรษฐีได้ไหม”
ช่างกัลบกกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ตรวจดูศีรษะ แล้วคงจำได้พระเจ้าข้า”
ตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านจงตรวจดู ศีรษะของคนทั้งสองเถิด” ทันใดนั้นท้าวสักกะก็บันดาลให้เกิดปุ่มขึ้นที่ศีรษะ พระโพธิสัตว์ตรวจดูศีรษะแม้ของคนทั้งสอง ก็เห็นปุ่มเหมือนกัน จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ที่ศีรษะของคนทั้งสอง ต่างมีปุ่มอยู่เหมือนกันในท่านทั้งสองนี้ ข้าพระองค์มิอาจจำได้ ถึงความเป็นตัวอิลลีสะสักคนเดียว”
ท่านเศรษฐี ฟังคำของพระโพธิสัตว์แล้วเท่านั้น ตัวสั่นงันงก ไม่อาจตั้งสติไว้ได้ เพราะความโลภในทรัพย์ ล้มลงตรงนั้นเอง ในขณะนั้น ท้าวสักกะกล่าวว่า “ดูก่อนมหาราช เราไม่ใช่ อิลลีสะดอก เราเป็นท้าวสักกะ” แล้วได้ประทับยืนอยู่ในอากาศ ด้วยท่าทางอันสง่า พวกอำมาตย์ช่วยลูบหน้าท่านอิลลีสเศรษฐีแล้วราดด้วยน้ำ อิลลีสเศรษฐีรีบลุกขึ้นยืนไหว้ท้าวสักกะเทวราช
ทันใดนั้น ท้าวสักกะกล่าวกะท่านเศรษฐีว่า “ดูก่อนอิลลีสะ ทรัพย์นี้เป็นของเรา ไม่ใช่ของท่าน เพราะเราเป็นบิดาของท่าน ท่านเป็นบุตรของเรา เราทำบุญมีให้ทานเป็นต้น ถึงความเป็นท้าวสักกะ แต่เธอตัดวงษ์ของเราขาดสิ้น เป็นผู้ไม่ยอมให้ทาน ตั้งอยู่ในความตระหนี่ เผาโรงทาน ขับไล่พวกยาจก เอาแต่สั่งสมทรัพย์ บริโภคเองก็ไม่ยอมบริโภค ให้คนอื่นก็ไม่ให้ ทำตนเหมือนรากษสหวงสระน้ำ ถ้าเธอกลับสร้างโรงทานให้เป็นปกติแล้วให้ทาน นั่นเป็นความฉลาด หากไม่ให้ทาน เราจักทำทรัพย์ของเธอให้อันตรธานไปจนหมด แล้วจักตีศีรษะด้วยอินทวัชระนี้ ให้สิ้นชีวิต”
อิลลีสเศรษฐีถูกคุกคามด้วยมหาภัย ได้ให้ปฏิญญาว่า “ตั้งแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าจักให้ทาน” ท้าวสักกะรับปฏิญญาณของท่านเศรษฐีแล้ว ประทับนั่งในอากาศนั่นแล แสดงธรรมชักนำให้เศรษฐีดำรงในศีล แล้วเสด็จไปสู่สถานของท้าวเธอ แม้อิลลีสเศรษฐี ก็กระทำบุญให้ทานเป็นต้น ได้เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในภายหน้า.
พระศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่โมคคัลลานะทรมานเศรษฐีตระหนี่ ถึงในครั้งก่อน ก็ทรมานมาแล้วเหมือนกัน” ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
อิลลีสเศรษฐีในครั้งนั้น ได้มาเป็นเศรษฐีผู้มีความตระหนี่ในครั้งนี้
ท้าวสักกเทวราชได้มา เป็นโมคคัลลานะ
พระราชาได้มาเป็นอานนท์
ส่วนช่างกัลบก ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อิลลีสชาดก