ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๘. วรุณวรรค
ขรัสสรชาดก
ว่าด้วยบุตรที่มารดาละทิ้ง
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอำมาตย์ผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีดังนี้.
ได้ยินว่า อำมาตย์ผู้หนึ่งของพระเจ้าโกศล ทำพระราชาให้โปรดปรานแล้ว ได้กำลังในปัจจันตคาม ไปร่วมกับพวกโจร กล่าวว่า เราจักพาพวกชนทั้งหลายเข้าป่า จากนั้นพวกเจ้าจงเข้าปล้นบ้านของพวกราษฎรที่เราพาเข้าป่าไปนั้น เมื่อได้ทรัพย์แล้ว จงแบ่งให้เราครึ่งหนึ่ง ดังนี้แล้ว ก็ดำเนินการตามแผนนั้น โดยเรียกพวกมนุษย์ให้ประชุมกัน แล้วพาเข้าป่าไปเสียก่อน ครั้นเมื่อพวกโจรพากันมา แล้วจับแม่โคฆ่ากินเนื้อ ปล้นบ้านเรือน เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็พากันหลบหนีไป จากนั้นอำมาตย์จึงพามหาชนกลับเข้าบ้านในเวลาเย็น
ไม่ช้าไม่นาน ความก็แตก พวกราษฎรจึงพากันไปกราบทูลพระราชา พระราชารับสั่งเรียกเขามาแล้ว ให้กำหนดโทษ ทรงลงพระอาญา สมควรแก่โทษานุโทษ ส่งนายอำเภอผู้อื่นไปแทน แล้วเสด็จไปพระเชตวัน ถวายบังคมพระตถาคต กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อำมาตย์ผู้นั้น ประพฤติอย่างนี้ ถึงในกาลก่อนก็ประพฤติอย่างนี้เหมือนกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระเจ้าโกศลกราบทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ทรงพระกรุณาพระราชทานปัจจันตคามแก่อำมาตย์ผู้หนึ่ง เรื่องต่อไปทั้งหมด ก็เป็นเช่นเดียวกับเรื่องก่อนทั้งหมด ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ท่องเที่ยวไปในปัจจันตคามเพื่อการค้า พำนักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น พระโพธิสัตว์นั้น เมื่อนายอำเภอผู้นั้น ตีกลองอึกทึกมากับมหาชนผู้ห้อมล้อมในตอนเย็น จึงกล่าวว่า นายอำเภอผู้ร้ายคนนี้รวมหัวกันกับพวกโจรให้ปล้นชาวบ้าน ครั้นพวกโจรพากันหนีเข้าดงไปแล้ว คราวนี้สิมีกลองตีเดินมา ทำเหมือนคนสงบเสงี่ยม แล้วกล่าวคาถานี้ว่า :
"เมื่อใดชาวบ้านถูกปล้นเรียบร้อยแล้ว ฝูงโคถูกเชือดแล้ว เรือนทั้งหลายถูกไฟเผาวอดไปแล้ว ผู้คนถูกต้อนไปแล้ว เมื่อนั้นจึงมาตีกลองเสียงอึกทึก" ดังนี้.
พระโพธิสัตว์ บริภาษเขาด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ ต่อมาไม่นาน กรรมนั้นของเขาปรากฏขึ้น.ครั้งนั้นพระราชา ทรงลงพระอาญาแก่เขา สมควรแก่โทษานุโทษ.
พระบรมศาสดา ตรัสว่า “ดูก่อนมหาบพิตร มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อำมาตย์ผู้นั้น มีปกติประพฤติอย่างนี้ แม้ในครั้งก่อน ก็ได้มีความประพฤติชั่วมาแล้วเหมือนกัน” ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า
อำมาตย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นอำมาตย์ในครั้งนี้
ส่วนบัณฑิตผู้ยกคาถาขึ้นกล่าว ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ ขรัสสชาดก