ขุททกนิกายภาค ๑
ทุกนิบาต
๒.สันถวรรค
สันถวชาดก
ว่าด้วยความสนิทสนม
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง ปรารภการบูชาไฟ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
เรื่องราวเหมือนกับที่กล่าวไว้แล้วในนังคุฏฐชาดกนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเห็นชฏิลเหล่านั้นบูชาไฟ จึงทูลถามพระผู้มีพระ ภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชฏิลทั้งหลายประพฤติตบะผิด มีประการต่าง ๆ ความเจริญในการนี้มีอยู่หรือหนอ พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความเจริญไร ๆ ในการนี้เลย แม้โบราณบัณฑิตก็สำคัญว่ามีความเจริญ เพราะการบูชาไฟ จึงบูชาไฟเป็นเวลานาน ครั้นเห็นไม่มีความเจริญในกรรมนั้น จึงเอาน้ำดับไฟ เอากิ่งไม้เป็นต้นฟาดมิได้กลับมาดูอีกต่อไป แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มารดา บิดาเก็บไฟวันเกิดของพระโพธิสัตว์ไว้แล้ว กล่าวกะพระโพธิสัตว์ เมื่อมีอายุได้ ๑๖ ปีว่า ลูกรัก ลูกจะรับเอาไฟวันเกิด ไปบำเรอไฟในป่า หรือจักเรียนไตรเพท เพราะปกครองสมบัติ อยู่เป็นฆราวาส พระโพธิสัตว์ตอบว่า ลูกไม่ต้องการอยู่เป็นฆราวาส ลูกจักบำเรอไฟในป่ามุ่งหน้าต่อพรหมโลก แล้วจึงรับเอาไฟวันเกิด ไหว้มารดาบิดา เข้าไปในป่า อาศัยอยู่ในบรรณศาลา บำเรอไฟ
วันหนึ่งพระโพธิสัตว์นั้น ไปยังที่เชิญเลี้ยง ได้ข้าวปายาสกับสัปปิมา จึงคิดว่า เราจักถวายข้าวปายาสนี้แก่มหาพรหม จึงนำข้าวปายาสนั้นมา ตั้งใจว่าเราจะบูชาไฟ ให้พระเพลิงผู้เป็นเจ้าดื่มข้าวปายาสผสมด้วยสัปปิก่อน แล้วสาดข้าวปายาสลงไปในไฟ ข้าปายาสมีน้ำมันมาก พอใส่เข้าไปในไฟ ไฟก็ลุกมีเปลวพุ่งขึ้นไหม้บรรณศาลา พราหมณ์ทั้งกลัวทั้งตกใจก็หนีออกไปยืนอยู่ ภายนอกบ่นว่า ไม่ควรทำความสนิทสนมกับคนชั่ว บัดนี้ บรรณศาลาของเราซึ่งทำแสนยากถูกไฟเผาเสียแล้ว จึงกล่าวคาถา แรกว่า :
“สิ่งอื่นที่จะชั่วช้ายิ่งขึ้นไปกว่าความสนิทสนมเป็นไม่มี
ความสนิทสนมกับบุรุษเลวทราม เป็นความชั่วช้า
เพราะไฟนี้เราให้อิ่มหนำแล้วด้วยสัปปิและข้าวปายาส
ยังไหม้บรรณศาลาที่เราทำได้ยากให้พินาศ.”
อรรถกถาอธิบายว่า ความสนิทสนมมีสองอย่าง คือ ความสนิทสนมด้วยอำนาจตัณหา ๑ ความสนิทสนมด้วยความเป็นมิตร ๑ ไม่มีสิ่งอื่นที่จะเลวทรามต่ำช้ายิ่งไปกว่าความสนิทสนมสองอย่างนั้น
ไม่มีความสนิทสนมอื่นที่เลวทรามกว่าความสนิทสนมสองอย่างนี้กับคนชั่วช้าเลวทราม เพราะไฟที่เราเลี้ยงให้อิ่มหนำด้วยสัปปิและข้าวปายาส ได้เผาบรรณศาลาที่เราสร้างไว้โดยลำบาก.
ครั้นพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว ก็คิดว่าเราไม่ต้องการด้วยสิ่งที่ทำลายมิตร จึงเอาน้ำดับไฟนั้นเสียแล้ว เอากิ่งไม้ฟาด เข้าไปสู่ภายในป่าหิมพานต์ พบแม่เนื้อตัวหนึ่งชื่อสามา เลียปากราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง จึงดำริว่าไม่มีความประเสริฐอื่น นอกจากความสนิทสนมกับสัตบุรุษแล้ว จึงกล่าวคาถาที่สองว่า :
“สิ่งอื่นที่จะประเสริฐยิ่งไปกว่าความสนิทสนมเป็นไม่มี
ความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เป็นความประเสริฐ
สามามฤคีเลียปากราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลืองได้ ก็เพราะความรักใคร่สนิทสนมกัน.”
ครั้นพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว จึงเข้าไปภายในป่าหิมพานต์ บรรพชาเป็นฤๅษี ยังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด ครั้นสิ้นชีพก็เข้าถึงพรหมโลก.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดง แล้วทรงประชุมชาดกว่า เราได้เป็นดาบสในครั้งนั้น.
จบ สันถวชาดก