พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุณีผู้ชอบพร่ำสอนรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุณีนั้นเป็นกุลธิดานางหนึ่งเป็นชาวพระนครสาวัตถี ตั้งแต่กาลที่ตนบวชแล้วก็มิได้ใส่ใจในสมณธรรม ติดใจในอามิส เที่ยวไปบิณฑบาตในเอกเทศแห่งพระนครในที่ที่ภิกษุณีอื่น ๆ ไม่พากันไป ครั้งนั้น พวกชนพากันถวายบิณฑบาตอันประณีตแก่เธอ เธอถูกความอยากในรสผูกพันไว้ คิดว่า ถ้าภิกษุณีอื่น ๆ จักเที่ยวบิณฑบาตในเขตนี้ ลาภของเราจักเสื่อมถอย เราควรกระทำให้ภิกษุณีอื่น ๆ ไม่มาถึงเขตนี้
ดังนี้แล้ว ไปสู่สำนักของนางภิกษุณีทั้งหลาย พร่ำสั่งสอนนางภิกษุณีทั้งหลายว่า ดูก่อนแม่เจ้าทั้งหลาย ในที่ตรงโน้น มีช้างดุ มีม้าดุ มีสุนัขดุ ท่องเที่ยวอยู่ เป็นสถานที่มีอันตรายรอบด้าน แม่คุณทั้งหลายอย่าไปเที่ยวบิณฑบาตในที่นั้นเลย ภิกษุณีแม้สักรูปหนึ่งเมื่อได้ฟังคำของเธอแล้ว ก็ไม่เหลียวคอมองดูเขตนั้น
ครั้นวันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังเที่ยวบิณฑบาต ก็ได้เข้าไปสู่เรือนหลังหนึ่งโดยเร็ว ถูกแพะดุชนเอาจนกระดูกขาหัก พวกชาวบ้านรีบเข้าไปตรวจดู ประสานกระดูกขาที่หักสองท่อนให้ติดกัน แล้วหามเธอด้วยเตียง นำไปสู่สำนักภิกษุณี พวกภิกษุณีพากันหัวเราะเยาะว่า ภิกษุณีรูปนี้ชอบพร่ำสอนภิกษุณีรูปอื่น ๆ ตนเองกลับเที่ยวไปในเขตนั้น จนขาหักกลับมา เหตุที่เธอกระทำอย่างนั้นก็ปรากฏในหมู่ภิกษุไม่ช้านัก
ครั้นวันหนึ่ง พวกภิกษุพากันกล่าวโทษของเธอในธรรมสภาว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุณีผู้ชอบสอน พร่ำสอนภิกษุณีอื่น ๆ แต่ตนเองกลับเที่ยวไปในเขตนั้น จนถูกแพะดุชนเอากระดูกหัก พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ?” เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุณีนั้น ก็เอาแต่สั่งสอนคนอื่น ๆ แต่ตนเองไม่ประพฤติ ต้องเสวยทุกข์ตลอดกาลเป็นนิตย์ทีเดียว” แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิด ในกำเนิดนกป่า เจริญวัยแล้ว ได้เป็นจ่าฝูงนก มีนกหลายร้อยเป็นบริวาร เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ ในกาลที่พระโพธิสัตว์อยู่ในป่าหิมพานต์นั้น นางนกจัณฑาลตัวหนึ่งไปสู่หนทางในป่าลึกเข้าไปไกล หาอาหารกิน นางได้เมล็ด ข้าวเปลือกและถั่วเป็นต้น ที่หล่นตกจากเกวียนในที่นั้นแล้ว คิดว่า บัดนี้เราต้องหาวิธีทำให้พวกนกเหล่าอื่นไม่ไปสู่เขตนี้ ดังนี้แล้วจึงบอกแก่ฝูงนกว่า ขึ้นชื่อว่าทางใหญ่ในหนทางในป่าลึกเข้าไปไกล เป็นทางมีภัยเฉพาะหน้า ฝูงสัตว์เป็นต้นว่า ช้าง ม้า และยวดยาน ที่เทียมด้วยโคดุ ๆ ย่อมผ่านไปมา ถ้าไม่สามารถจะโผบินขึ้นได้รวดเร็ว ก็ไม่ควรไปในที่นั้น ฝูงนกตั้งชื่อให้นางว่า "แม่อนุสาสิกา" วันหนึ่งนางกำลังเที่ยวไปในทางใหญ่ในหนทางในป่าลึกเข้าไปไกล ได้ยิน เสียงยานแล่นมาด้วยความเร็วอย่างยิ่ง ก็เหลียวมองดู โดยคิดว่า ยังอยู่ไกล คงเที่ยวเรื่อยไป ครั้งนั้นยานก็พลันถึงตัวนาง ด้วยความเร็วปานลมพัด นางไม่อาจโผบินขึ้นได้ทัน ล้อทับร่าง ผ่านไป นกผู้เป็นจ่าฝูง เรียกประชุมฝูงนก ไม่เห็นนางก็กล่าวว่า นางอนุสาสิกาไม่ปรากฏ พวกเจ้าจงค้นหานาง ฝูงนกพากันค้นหา เห็นนางแยกออกเป็นสองเสี่ยงที่ทางใหญ่ ก็พากันแจ้งแก่จ่าฝูง จ่าฝูง กล่าวว่า นางห้ามนกอื่น ๆ แต่ตนเองเที่ยวไปในที่นั้น จึงแยกออกเป็นสองเสี่ยง
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
นางนกสาลิกาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุณี อนุสาสิกาในครั้งนี้
ส่วนนกจ่าฝูง ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อนุสาสิกชาดก