ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๓. กุรุงควรรค
อภิณหชาดก
ว่าด้วยการเห็นกันบ่อยๆ
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภอุบาสกคนหนึ่งกับพระเถระแก่ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในนครสาวัตถีมีสหาย ๒ คน บรรดาสหายทั้งสองนั้น คนหนึ่งบวชแล้วได้ไปยังเรือนของสหายอีกคนหนึ่งทุกวัน สหายนั้นได้ถวายภิกษาแก่ภิกษุผู้สหายนั้น แม้ตนเองเมื่อบริโภคแล้วก็ได้ไปวิหารพร้อมกับภิกษุผู้สหายนั้นนั่นแหละ แล้วนั่งสนทนาปราศรัยอยู่จนพระอาทิตย์อัสดง จึงกลับเข้าเมือง
ฝ่ายภิกษุผู้สหายก็ตามสหายนั้นไปจนถึงประตูเมืองแล้วก็กลับ ความคุ้นเคยของสหายทั้งสองนั้นเกิดปรากฏในระหว่างภิกษุทั้งหลาย
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งกล่าวถึงความคุ้นเคยของสหายทั้งสองนั้นในโรงธรรมสภา
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนา กันด้วยกถาเรื่องอะไรหนอ ?”
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “ด้วยกถาเรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า”
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย สหายทั้งสองนี้เป็นผู้คุ้นเคยกัน แต่ในบัดนี้ เท่านั้น หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้เป็นผู้คุ้นเคยกันเหมือนกัน” แล้วทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ของพระเจ้าพรหมทัตนั้น ในกาลนั้น สุนัขตัวหนึ่งไปยังโรงช้างมงคลกินเมล็ดข้าวสุกแห่งภัตที่ตกอยู่ในที่ที่ช้างมงคลบริโภค สุนัขนั้นเติบโตด้วยโภชนะนั้นนั่นแล จึงเกิดความคุ้นเคยกับช้างมงคล บริโภคอยู่ในสำนักของช้างมงคลนั่นเอง
สัตว์แม้ทั้งสองไม่อาจเว้นจากกัน ช้างนั้นเอางวงจับสุนัขนั้นไสไปไสมาเล่น ยกขึ้นวางบนกระพองบ้าง อยู่มาวันหนึ่ง ชาวบ้านคนหนึ่งให้เงินแก่คนเลี้ยงช้าง แล้วได้พาเอาสุนัขนั้นไปบ้านของตน ตั้งแต่นั้น ช้างนั้นเมื่อไม่เห็นสุนัขก็ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่อาบ พวกคนเลี้ยงช้างจึงกราบทูลเรื่องนั้นแก่พระราชา
พระราชาทรงสั่ง พระโพธิสัตว์ไปด้วยพระดำรัสว่า “บัณฑิต ท่านจงไป จงดูว่า เพราะเหตุไร ช้างจึงกระทำอย่างนั้น”
พระโพธิสัตว์ไปยังโรงช้างรู้ว่าช้างเสียใจ คิดว่า โรคไม่ปรากฏในร่างกายของช้างนี้ ก็ความสนิทสนมฐานมิตรกับใคร ๆ จะพึงมีแก่ช้างนั้น ช้างนั้นเห็นจะไม่เห็นมิตรนั้น จึงถูกความโศกครอบงำ
ครั้นคิดแล้ว จึงถามพวกคนเลี้ยงช้างว่า “ช้างนี้คุ้นเคยกับใคร ๆ มีหรือไม่ ?”
พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า “มีจ้ะนาย ช้างนี้ถึงความคุ้นเคยกันมากกับสุนัขตัวหนึ่ง”
พระโพธิสัตว์ถามว่า “บัดนี้ สุนัขตัวนั้นอยู่ที่ไหน ?”
พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า “ถูกชาวบ้านคนหนึ่งนำไป”
พระโพธิสัตว์ถามว่า “ชาวบ้านคนนั้นอยู่ที่ไหน พวกท่านรู้จักไหม ?”
พวกคนเลี้ยงช้างกล่าวว่า “ไม่รู้จักดอกนาย”
พระโพธิสัตว์ได้ไปยังสำนักของพระราชาแล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ อาพาธ ไร ๆ ของช้างไม่มี แต่ช้างนั้นมีความคุ้นเคยอย่างแรงกล้ากับสุนัขตัวหนึ่ง ช้างนั้นเห็นจะไม่เห็นสุนัขนั้นจึงไม่บริโภค”
พระราชาทรงสดับคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว จึงตรัสถามว่า “ดูก่อน บัณฑิต บัดนี้ควรกระทำอย่างไร ?”
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ได้ยินว่า ชาวบ้านผู้หนึ่งพาเอาสุนัขผู้เป็นสหายของช้างมงคลแห่งข้าพระบาททั้งหลายไป ขอพระองค์จงให้คนเที่ยวตีกลองประกาศว่า ผู้ใดเห็นสุนัขนั้นในเรือนของใครก็จักได้รางวัลดังนี้ พระเจ้าข้า”
พระราชาทรงให้กระทำอย่างนั้น บุรุษนั่นได้สดับข่าวนั้นจึงปล่อยสุนัข สุนัขนั้นรีบไปยังที่อยู่ของช้างทีเดียว ช้างเอางวงจับสุนัขนั้นวางบนกระพอง ร้องไห้รํ่าไรแล้วเอาลงจากกระพอง เมื่อสุนัขนั้นบริโภค ตนจึงบริโภคภายหลัง พระราชาทรงพระดำริว่า “พระโพธิสัตว์รู้อัธยาศัยของสัตว์เดียรัจฉาน” จึงได้ ประทานยศใหญ่แก่พระโพธิสัตว์.
พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสองรูปนี้เป็นผู้คุ้นเคย กันในบัดนี้เท่านั้น หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้เป็นผู้คุ้นเคยกันมาแล้ว” ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงเปลี่ยนแสดงด้วยกถาว่าด้วยสัจจะ ๔ แล้วทรงประชุมชาดก
สุนัขในกาลนั้น ได้เป็นอุบาสกในบัดนี้
ช้างในกาลนั้น ได้เป็นพระเถระแก่ในบัดนี้
พระราชาในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ในบัดนี้
ส่วนบัณฑิตผู้เป็นอำมาตย์ได้เป็นเราแล.