ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๒. สีลวรรค
มาลุตชาดก
ว่าด้วยความหนาวเกิดแก่ลม
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวันทรงปรารภบรรพชิต ผู้บวชเมื่อแก่ ๒ รูป จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้
ได้ยินว่า บรรพชิตทั้งสองรูปนั้น อยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท รูปหนึ่งชื่อ กาฬเถระ รูปหนึ่งชื่อ ชุณหเถระ อยู่มาวันหนึ่ง พระชุณหะถามพระกาฬะว่า
“ท่านกาฬะผู้เจริญ ธรรมดาว่าความหนาวมีในเวลาไร ?”
พระกาฬะนั้นกล่าวว่า “ความหนาวมีในเวลาข้างแรม”
อยู่มาวันหนึ่ง พระกาฬะถาม พระชุณหะว่า “ท่านชุณหะผู้เจริญ ธรรมดาว่าความหนาวย่อมมีในเวลาไร ?”
พระชุณหะนั้นกล่าวว่า “มีในเวลาข้างขึ้น”
พระแม้ทั้งสองรูปนั้นเมื่อไม่อาจตัดความสงสัยของตนได้ จึงพากันไปยังสำนักของพระบรมศาสดาถวายบังคมแล้ว ทูลถามว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมดาว่าความหนาวย่อมมีในกาลไร พระเจ้าข้า ?”
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของภิกษุทั้งสองนั้นแล้วตรัสว่า “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน เราก็ตอบปัญหานี้แก่เธอทั้งสองแล้ว แต่เธอทั้งหลายกำหนดไม่ได้ เพราะอยู่ในสังเขปแห่งภพ” แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ณ เชิงเขาแห่งหนึ่ง มีสัตว์ผู้เป็นสหายกันสองตัว คือ ราชสีห์ตัวหนึ่ง เสือโคร่งตัวหนึ่ง อยู่ในถํ้าเดียวกันนั่นเอง ในกาลนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็บวชเป็นฤๅษี อยู่ที่เชิงเขานั้นเหมือนกัน ภายหลังวันหนึ่ง ความวิวาทเกิดขึ้นแก่สหายเหล่านั้น เพราะอาศัยความหนาว
เสือโคร่งกล่าวว่า “ความหนาวย่อมมีเฉพาะในเวลาข้างแรม”
ราชสีห์กล่าวว่า “มีเฉพาะในเวลาข้างขึ้น”
สหายแม้ทั้งสองนั้น เมื่อไม่อาจตัดความสงสัยของตน จึงถามพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคาถานี้ว่า
“ข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ตาม สมัยใดลมย่อมพัดมา
สมัยนั้นย่อมมีความหนาว เพราะความหนาวเกิดแต่
ลม ในปัญหาข้อนี้ท่านทั้งสอง ชื่อว่าไม่แพ้กัน.”
พระโพธิสัตว์ให้สหายเหล่านั้นยินยอมกันด้วยประการอย่างนี้ ฝ่ายพระศาสดาจึงตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน เราก็ตอบปัญหานี้แก่เธอทั้งหลายแล้ว”
ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะ พระเถระแม้ทั้งสองเหล่านั้นก็ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล พระศาสดาทรงสืบอนุสนธิแล้วประชุมชาดกว่า
เสือโคร่งในครั้งนั้น ได้เป็นพระกาฬะ
ราชสีห์ในครั้งนั้น ได้เป็น พระชุณหะ
ส่วนดาบสผู้แก้ปัญหาในครั้งนั้น ได้เป็นเราแล.