ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๕. กกัณฏกวรรค
กากชาดก
ว่าด้วยกาวิดน้ำด้วยปาก
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุแก่ ๆ หลายรูปด้วยกันตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น ครั้งเป็นคฤหัสถ์ เป็นกุฏุมพี ในเมืองสาวัตถี มั่งมีทรัพย์ เป็นสหายกัน ทำบุญร่วมกัน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว พากันดำริว่า พวกเราเป็นคนแก่ การอยู่ครองเรือนจะมีประโยชน์อะไรแก่พวกเรา พวกเราจักบวชในพระพุทธศาสนา อันเป็นที่น่ายินดีในสำนักของพระศาสดา จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้ แล้วต่างยกสมบัติทั้งปวงให้แก่ลูกหลานเป็นต้น ละหมู่ญาติ แล้วทูลขอบรรพชากะพระศาสดา
แต่ครั้นเมื่อบวชแล้ว ก็มิได้ชักชวนกันบำเพ็ญสมณธรรมอันสมควรแก่บรรพชา แม้พระธรรมก็ไม่ศึกษา เพราะความเป็นคนแก่ ถึงจะบวชแล้วก็เหมือนในครั้งที่ยังเป็นคฤหัสถ์ ให้คนสร้างบรรณศาลาไว้ท้ายวิหาร คงรวมกันอยู่นั่นแล แม้เมื่อเที่ยวบิณฑบาต ก็ไม่ไปที่อื่น โดยมากก็ชวนกันไปฉันที่บ้านบุตรภรรยาของตนนั่นแหละ ในบรรดาคนเหล่านั้น ภรรยาเก่าของพระเถระแก่รูปหนึ่ง ได้มีอุปการะแก่พระเถระแก่ ๆ ทั้งปวง เหตุนั้นแม้พระเถระที่เหลือ ต่างก็ถืออาหารที่ตนได้ มานั่งฉันในเรือนของของนางเพียงผู้เดียว ฝ่ายนางเล่า ก็ถวายต้มแกงตามที่ตนจัดไว้แก่พระเถระเหล่านั้น
ต่อมานางป่วยด้วยอาพาธอย่างหนึ่งและทำกาละแล้ว ครั้งนั้นพระเถระ แก่ ๆ เหล่านั้น พากันไปสู่วิหาร กอดคอกัน เที่ยวร้องไห้อยู่ท้ายวิหารว่า อุบาสิกาผู้มีรสมืออร่อย ตายเสียแล้ว ฝ่ายภิกษุทั้งหลาย ฟังเสียงของพระเถระเหล่านั้นแล้ว ก็มาประชุมกันจากที่ต่าง ๆ ถามว่า "ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เหตุไรพวกท่านจึงร้องไห้" พระเถระเหล่านั้นตอบว่า "ภรรยาเก่าแห่งสหายของพวกกระผม ผู้มีรสมืออร่อยตายเสียแล้ว นางมีอุปการะแก่พวกผมยิ่งนัก ทีนี้จักหาที่ไหนได้เหมือนนางเล่า เหตุนี้พวกผมจึงพากันร้องไห้" ภิกษุทั้งหลายเห็นข้อวิปริตนั้นของพระเถระเหล่านั้นแล้ว พากันยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า "ผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุอย่างนี้ พระเถระแก่ ๆ ทั้งหลายกอดคอกันเที่ยวร้องไห้ อยู่แถวท้ายวิหาร" พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุเหล่านั้นพากันเที่ยวร้องไห้ เพราะหญิงนั้นตายลง แม้ในครั้งก่อน ภิกษุเหล่านี้ อาศัยหญิงนี้ ผู้เกิดในกำเนิดกา แล้วตายเสียในสมุทรร่วมคิดกันว่า พวกเราจักวิดน้ำในสมุทร นำนางขึ้นมาให้จงได้ ดังนี้ พากันเพียรพยายาม เพราะได้อาศัยบัณฑิต จึงได้มีชีวิตอยู่ได้" ดังนี้แล้ว ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเทวดาผู้รักษาสมุทร ครั้งนั้น กาตัวหนึ่ง พานางกาผู้ภรรยาของตน เที่ยวแสวงหาเหยื่อ ได้ไปถึงฝั่งสมุทร กาลนั้นฝูงชนพากันกระทำพลีกรรมแก่พญานาค ด้วยน้ำนม ข้าวปายาส ปลา เนื้อและสุราเป็นต้น แล้วพากันหลีกไป ครั้งนั้น กาตัวนั้นเมื่อไปถึงที่พลีกรรม เห็นน้ำนมเป็นต้น ก็กินน้ำนม ข้าวปายาส ปลา และเนื้อเป็นต้น พร้อมด้วยนางกา แล้วพากันดื่มสุราเข้าไปมาก กาผัวเมียทั้งคู่ ต่างเมามายสุรา ก็คิดจะเล่นน้ำจึงเกาะที่ชายหาดทราย ทีนั้นคลื่นลูกหนึ่งซัดมา พาเอานางกาเข้าไปเสียในสมุทร ปลาตัวหนึ่งจึงฮุบนางกานั้นกลืนกินเสีย การ้องไห้ รำพรรณว่า เมียของเราตายเสียแล้ว ครั้นกามากด้วยกัน ได้ยินเสียงร่ำไห้ของมัน ก็มาประชุมกันถามว่า "เจ้าร้องไห้เพราะ เหตุไร" มันบอกว่า "หญิงสหายของพวกท่านกำลังอาบน้ำอยู่ที่ชายหาด โดนคลื่นซัดไปเสียแล้ว" กาเหล่านั้นแม้ทุกตัวก็ร้องเอ็ดอึงเป็นเสียงเดียวกัน ครั้งนั้นฝูงกาเหล่านั้น ได้มีความคิดดังนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า "น้ำในสมุทรนี้ จะสำคัญกว่าพวกเราหรือ พวกเราช่วยกันวิดน้ำให้แห้ง ค้นเอาหญิงสหายออกมาให้ได้" กาเหล่านั้น ช่วยกันอมน้ำเค็มปากทีเดียว เอาไปบ้วนทิ้งเสียข้างนอก และเมื่อคอแห้งเพราะน้ำเค็มก็พากันขึ้นไปบนบก พวกมัน ครั้นขาตะไกรล้า ปากซีด ตาแดง ก็อิดโรยไปตามกัน จึงเรียกกันมาปรับทุกข์ว่า "ชาวเราเอ๋ย พวกเราพากันอมน้ำจากสมุทร ไปทิ้งข้างนอก ที่ที่เราอมน้ำไปแล้ว กลับเต็มไปด้วยน้ำเสียอีก พวกเราคงไม่สามารถทำให้สมุทรแห้งเป็นแน่"
ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว กาเหล่านั้นทั้งหมด ก็ต่างพูดพร่ำเพ้อมากมายว่า จะงอยปากของนางกานั้น งดงามเห็นปานนี้ ตากลมอย่างนี้ ผิวพรรณทรวดทรงงามระหงอย่างนี้ เสียงเพราะปานนี้ เพราะอาศัยสมุทรผู้เป็นโจรนี้ นางกาของพวกเราหายไปแล้ว เทวดาประจำสมุทรจึงสำแดงรูปน่าสะพรึงกลัว ไล่ฝูงกาที่กำลังร้องรำพรรณพร่ำเพ้ออยู่อย่างนี้ให้หนีไป ความสวัสดีจึงได้มีแก่ฝูงกานั้น ด้วยประการฉะนี้.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
นางกาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาเก่านี้
กาได้มาเป็นพระเถระแก่
ฝูงกาที่เหลือได้มาเป็นพระเถระแก่ ๆ ที่เหลือ
ส่วนเทวดารักษาสมุทร ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ กากชาดก