ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๑. ปโรสตวรรค
สาลิตตกชาดก
ว่าด้วยคนมีศิลปะ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุนั้น เป็นกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง ถึงความสำเร็จในสาลิตตกศิลป์ ที่เรียกว่า สาลิตตกศิลป์ ได้แก่ ศิลปะในการดีดก้อนกรวด วันหนึ่งเขาฟังธรรมแล้วบวชถวายชีวิตในพระศาสนา ได้อุปสมบทแล้ว แต่มิได้เป็นผู้มุ่งการศึกษา มิได้เป็นผู้ยังการปฏิบัติให้สำเร็จ วันหนึ่งเธอชวนภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง ไปสู่แม่น้ำอจิรวดี อาบน้ำแล้วพักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ
ครั้งนั้น หงส์ขาว ๒ ตัวพากันบินมาทางอากาศ เธอจึงกล่าวกะภิกษุหนุ่ม นั้นว่า “ผมจะเอาก้อนกรวดประหารหงส์ตัวหลังนี้ที่นัยน์ตา ให้ตกลงมาแทบเท้าของท่าน”
อีกรูปหนึ่งกล่าวว่า “ท่านจะทำให้มันตกได้อย่างไร ท่านไม่อาจประหารมันได้ดอก”
เธอกล่าวว่า “เรื่องนั้น ยกไว้ก่อนเถิด เราจักประหารมันที่นัยน์ตาข้างโน้น ให้ทะลุถึงตาข้างนี้”
ภิกษุหนุ่มจึงกล่าวแย้งว่า “คราวนี้ท่านพูดไม่จริงละ ! “
เธอบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณคอยดู”
แล้วหยิบเอาก้อนกรวดคม ๆ ได้ก้อนหนึ่งคลึงด้วยนิ้วชี้ แล้วดีดไปข้างหลังของหงส์นั้น ก้อนกรวดนั้น ส่งเสียงหึ่ง ๆ หงส์คิดว่า น่าจะมีอันตรายจึงเหลียวกลับมาหมายจะฟังเสียงนั้นว่าเป็นเสียงอะไร ขณะนั้นภิกษุนี้ก็ถือก้อนกรวดก้อนหนึ่งไว้ในมือ เมื่อเห็นหงส์เหลียวหน้าไปอีกด้านหนึ่ง ก็ดีดเม็ดกรวดในมือไปกระทบนัยน์ตาอีกข้างหนึ่ง ก้อนกรวดเจาะทะลุถึงนัยน์ตาอีกข้างหนึ่ง หงส์ร้องดังสนั่น ตกลงมาที่ใกล้เท้าทันที
พวกภิกษุอื่นๆพากันติเตียน กล่าวว่า “คุณทำไม่สมควรเลย” แล้วนำเธอไปสำนักพระศาสดา กราบทูลเรื่องนั้นว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุรูปนี้กระทำกรรมชื่อนี้”
พระศาสดาทรงตำหนิภิกษุนั้น ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุนี้ฉลาดในศิลปะนั้น แม้ครั้งก่อนก็ได้เป็นผู้ฉลาดแล้วเหมือนกัน”
แล้วทรงนำเอาเรื่อง ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอำมาตย์ของพระองค์ ครั้งนั้นปุโรหิตของพระราชาเป็นคนปากกล้ายิ่งนัก ชอบพูดมาก เมื่อตั้งต้นพูดแล้ว คนอื่น ๆ จะไม่มีโอกาสได้พูดเลยทีเดียว ฝ่ายพระราชาก็ทรงพระดำริว่า “เมื่อไรเล่าหนอ เราถึงจักได้ใครช่วยหยุดถ้อยคำของเขาเสียได้” ตั้งแต่นั้นท้าวเธอ ก็ทรงใคร่ครวญหาคนอย่างนี้สักคนหนึ่ง
ครั้งนั้น ในเมืองพาราณสี มีบุรุษง่อยคนหนึ่ง ถึงความสำเร็จในศิลปะคือ การดีดก้อนกรวด พวกเด็กชาวบ้านยกเขาขึ้นสู่รถช่วยกันลากมาไว้ที่ต้นไทรใหญ่ สมบูรณ์ด้วยคาคบต้นหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ใกล้ประตูพระนครพาราณสี พากันห้อมล้อม ให้เงินมีกากณึกเป็นต้น ร้องบอกว่า “จงทำรูปช้าง จงทำรูปม้า” เขาก็ดีดก้อนกรวด แสดงรูปต่าง ๆ เหล่านั้นที่ใบไทรทั้งหลาย ใบไทรทั้งมวลล้วนเป็นช่องน้อย ช่องใหญ่ไปทั้งนั้น
ครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสี เสด็จพระดำเนินไปสู่พระอุทยาน เสด็จถึงตรงนั้น พวกเด็กทั้งหมดพากันหนี เพราะกลัวจะถูกขับไล่ บุรุษง่อยนอนอยู่ในที่นั้นเอง พระราชาเสด็จถึงโคนต้นไทร ประทับนั่งในราชรถนั่นแลทอดพระเนตรเห็นเงาต่าง ๆ เพราะใบไม้ทั้งหลายขาดเป็นช่อง ก็ทรงจ้องดู ครั้นเห็นใบไม้ทั้งปวงปรุโปร่งไปหมด ก็ตรัสถามว่า “ใบไม้เหล่านี้ใครทำให้เป็นอย่างนี้ ?”
ราชบุรุษ กราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ บุรุษเปลี้ยกระทำพระเจ้าข้า”
พระราชาทรงพระดำริว่า “อาศัยคนผู้นี้เราอาจหยุดการพูดของพราหมณ์ได้” จึงมีพระดำรัสถามว่า “พนาย เจ้าง่อยอยู่ไหนละ ?” ราชบุรุษเที่ยวค้น ก็พบเขานอนอยู่ที่โคนไม้ ก็พากันนำตัวมา กราบทูลว่า “นี่พระเจ้าข้า”
พระราชารับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วทรงขับบริษัทไปเสีย ตรัสถามว่า “ในสำนักของเรามีพราหมณ์ปากกล้าอยู่คนหนึ่ง เจ้าจักอาจทำให้เขาหมดเสียงได้ไหม ?”
บุรุษง่อยกราบทูลว่า “เมื่อได้ขี้แพะประมาณทะนานหนึ่ง ข้าพระองค์ก็อาจจะกระทำได้พระเจ้าข้า” พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษพาบุรุษง่อยเข้าไปสู่พระราชวัง ให้นั่งอยู่ภายในม่านเจาะช่องที่ม่าน รับสั่งให้จัดที่นั่งของพราหมณ์ตรงช่อง แล้วให้วางขี้แพะแห้งประมาณหนึ่งทะนานไว้ใกล้ ๆ บุรุษง่อย
เวลาพราหมณ์มาเฝ้า รับสั่งให้นั่งเหนืออาสนะนั้น พลางทรงตั้งเรื่องสนทนาขึ้น พราหมณ์ไม่ยอมให้โอกาสแก่คนอื่น ๆ เริ่มกราบทูลแก่พระราชา ครั้งนั้นบุรุษง่อยก็ดีดขี้แพะไปทีละก้อน ๆ ทางช่องม่าน กะให้ตกลงที่พื้นเพดานปากของพราหมณ์นั้นทุกที เหมือนกับโยนใส่กระเช้า ฉะนั้น
พราหมณ์ก็กลืนขี้แพะที่ดีดมาแล้ว ๆ เหมือนกรอกน้ำมันใส่ทะนาน ขี้แพะถึงความสิ้นไปหมดทั้งทะนาน ขี้แพะประมาณทะนานหนึ่งนั้น เข้าท้องของพราหมณ์ไปได้ประมาณกึ่งอาฬหกะ พระราชาทรงทราบความที่ขี้แพะหมดสิ้นแล้ว จึงตรัสว่า “ท่านอาจารย์ ท่านกลืนขี้แพะเข้าไปตั้งทะนาน เพราะเป็นคนปากมาก ท่านยังไม่รู้อะไรเลย บัดนี้ท่านจักไม่สามารถให้ขี้แพะนี้ย่อยได้ ไปเถิดจงดื่มน้ำประยงค์ ถ่ายทิ้ง ทำตนให้ปราศจากโรคเถิด”
นับแต่นั้น พราหมณ์เหมือนมีปากถูกปิดสนิท แม้ใครจะพูดก็ไม่ค่อยจะพูดด้วย พระราชาทรงพระดำริว่า “บุรุษนี้ ทำความสบายหูให้แก่เรา” พระราชทานบ้าน ๔ หลัง ในทิศทั้ง ๔ มีส่วยขึ้นประมาณแสนกษาปณ์ พระโพธิสัตว์เข้าเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า
“ข้าแต่สมมติเทพ ธรรมดาศิลปะในโลก บัณฑิตทั้งหลายพึงเรียน แม้เพียงดีดก้อนกรวด ก็ยังช่วยให้บุรุษง่อยให้ได้สมบัตินี้”
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ตรัสประชุมชาดกว่า
บุรุษง่อยในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุนี้
พระราชาได้ มาเป็นอานนท์
ส่วนอำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ สาลิตตกชาดก