พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๕. กกัณฏกวรรค
สิคาลชาดก
ว่าด้วยสุนัขเข้าอยู่ในท้องช้าง

      พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการข่มกิเลส ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

      ได้ยินว่า เศรษฐีบุตรในเมืองสาวัตถี ประมาณ ๕๐๐ คน เป็นเพื่อนกัน ต่างมีสมบัติคนละมากมาย ฟังพระธรรมเทศนา ของพระศาสดาแล้ว พากันบวชถวายชีวิตในพระศาสนา อยู่ใน กุฏิแถวสุดในพระวิหารเชตวัน อยู่มาวันหนึ่ง เป็นเวลาท่ามกลางรัตติกาล ความดำริ อาศัยกิเลสเป็นเจ้าเรือน บังเกิดขึ้นแก่ พวกภิกษุเหล่านั้น พวกเธอต่างกระสัน เกิดจิตตุบาทเพื่อที่จะยึดครองกิเลสที่ตนละแล้วอีก ครั้งนั้น ในระหว่างท่ามกลางรัตติกาล พระศาสดาทรงตรวจดูอัธยาศัยของภิกษุทั้งหลายว่า "พวกภิกษุพากันพำนักอยู่ในพระเชตวันวิหารด้วยความยินดีอย่างไหนเล่าหนอ ?" ก็ทรงทราบความที่พวกภิกษุเหล่านั้น ต่างมีความดำริในกามราคะ

      ก็ธรรมดาพระศาสดาย่อมรักษาหมู่สาวกของพระองค์ ประดุจหญิงมีบุตรคนเดียวถนอมบุตร ของตน ประดุจคนมีตาข้างเดียวระวังนัยน์ตาของตนก็ปานกัน ในสมัยใด ๆ มีเวลาเช้า เป็นต้น กองกิเลสเกิดแก่หมู่สาวกนั้น ก็ไม่ทรงยอมให้กองกิเลสเหล่านั้น ของสาวกเหล่านั้น พอกพูน ไปกว่านั้น ทรงข่มเสียในสมัยนั้น ๆ ทีเดียว ด้วยเหตุนั้นพระองค์ จึงได้มีพระปริวิตกว่า กาลนี้ เป็นประดุจดังกาลที่เกิดพวกโจรขึ้นภายในพระนคร ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ ฉะนั้น เราต้องแสดงพระธรรมเทศนาข่มกองกิเลสแล้วให้พระอรหัตผลแก่พวกเธอในบัดนี้ทีเดียว

      พระองค์จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏี มีพระดำรัสด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ เรียกท่านพระอานนท์ ผู้เป็นขุนคลังแห่งธรรมว่า "ดูก่อนอานนท์"

      พระเถระเจ้ารับพระพุทธดำรัสว่า "อะไร พระเจ้าข้า ?" มาถวายบังคมยืนอยู่

      ตรัสว่า "อานนท์ ภิกษุมีเท่าไร ที่อยู่ในกุฏิแถวหลังสุด เธอจงให้ประชุมกันในบริเวณคันธกุฏีทั้งหมดทีเดียว"

      ได้ยินว่าพระองค์ ได้ทรงมีพระดำริดังนี้ว่า "แม้นเราให้เรียกเฉพาะภิกษุ ๕๐๐ พวกนั้น เท่านั้นมาประชุม พวกเธอจักพากันสลดใจว่า พระศาสดาทรงทราบความที่กองกิเลสเกิดขึ้นภายในของพวกเราแล้ว จักมิอาจที่จะรับพระธรรมเทศนาได้" เหตุนั้นจึงตรัสว่า "ให้ประชุมทั้งหมด" พระเถระรับพระพุทธดำรัสว่า "ดีละ พระเจ้าข้า" แล้วถือลูกดาล เที่ยวไปทั่วบริเวณ บอกให้ภิกษุทั้งหมดประชุมกัน ณ บริเวณ พระคันธกุฏี แล้วจัดปูลาดพระพุทธอาสน์ไว้.

      พระศาสดาทรงประทับเหนือ พระพุทธอาสน์ที่จัดไว้ ทรงเตือน ภิกษุทั้งหลาย ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุไม่ควรตรึกอกุศลวิตกทั้ง ๓ นี้ คือ กามวิตก ความตรึกในกาม พยาบาทวิตก ความตรึกในพยาบาท วิหิงสาวิตก ความตรึกในวิหิงสา ขึ้นชื่อว่า กิเลสเป็นเช่นกับปัจจามิตร และปัจจามิตรเล่า จะชื่อว่า เล็กน้อยไม่มีเลย ได้โอกาสแล้วย่อมทำให้ถึงความพินาศโดยส่วนเดียว กิเลสแม้ถึงจะมีประมาณน้อย เกิดขึ้นแล้ว ได้โอกาส เพื่อจะเพิ่มพูน ย่อมยังความพินาศอย่างใหญ่หลวงให้เกิดขึ้นได้ อย่างนั้นทีเดียว ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้ เปรียบด้วยยาพิษที่ร้ายแรง เป็นเช่นกับด้วยหัวฝีที่มีผิวหนังปอกไปแล้ว เทียบกันได้กับอสรพิษ คล้ายกับไฟที่เกิดจากอสนีบาต ไม่ควรเลยที่จะนิยมยินดี ควรจะกีดกันเสีย ด้วยพลังแห่งการพิจารณา ด้วยพลังแห่งภาวนา ในขณะที่เกิดทีเดียว ควรจะละเสีย ด้วยการที่กองกิเลสทั้งนั้น จะเลือนไปไม่ทันตั้งอยู่ในหทัยแม้เพียงครู่เดียว เหมือนหยาดน้ำ กลิ้งตกไปจากใบบัว ฉันใดก็ฉันนั้น แม้ถึงบัณฑิตในครั้งก่อนทั้งหลาย ก็ติเตียนกิเลสแม้มีประมาณน้อย ข่มมันเสียไม่ยอม ให้เกิดขึ้นในภายในได้อีกฉะนั้น" ดังนี้ แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

      ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดหมาจิ้งจอก พำนักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำใกล้ป่า ครั้งนั้นช้างแก่ตัวหนึ่งล้มอยู่ที่ฝั่งคงคา สุนัขจิ้งจอกออกหาเหยื่อ พบซากช้างนั้น คิดว่า เหยื่อชิ้นใหญ่เกิดแก่เราแล้ว จึงไปที่ซากนั้น กัดที่งวง ก็เป็นเหมือนเวลาที่กัดงอนไถ มันคิดว่า ตรงนี้ไม่ควรกิน จึงกัดที่งาทั้งคู่ ก็เป็นเหมือน เวลาที่กัดเสา กัดหูเล่า ก็ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดขอบกระด้ง กัดที่ท้อง ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดยุ้งข้าว กัดที่เท้า ก็ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดครก กัดที่หางได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดสาก ดำริว่า แม้ในที่นี้ก็ไม่ควรกิน เมื่อไม่ได้รับความพอใจในอวัยวะทั้งปวง ก็กัดตรงวัจมรรค ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดขนมนุ่ม มันดำริว่า คราวนี้เราได้ที่ที่ควรกินอันอ่อนนุ่มในสรีระนี้แล้ว จึงกัดแต่วัจมรรคนั้น เข้าไปถึงภายในท้อง กินตับและหัวใจ เป็นต้น เวลากระหายน้ำ ก็ดื่มโลหิต เวลาอยากจะนอนก็เอาพื้นท้องรองนอน ครั้งนั้น สุนัขจิ้งจอกได้มีปริวิตกว่า ซากช้างนี้เป็นเหมือนเรือนของเรา เพราะเป็นที่อยู่สบาย ครั้นอยากกิน ก็มีเนื้ออย่างเพียงพอ ทีนี้เราจะไปที่อื่นทำไม จึงไม่ยอมไปในที่อื่นอีกเลย คงอยู่กินเนื้อในท้องช้างแห่งเดียว.

      ครั้งเวลาล่วงไป ผ่านไป จนถึงฤดูแล้ง ซากช้างนั้น ก็หดตัวเหี่ยวแห้ง ด้วยถูกลมสัมผัส และถูกแสงอาทิตย์แผดเผา ช่องที่สุนัขจิ้งจอกเข้าไปก็ปิด ภายในท้องก็มืด ปรากฏแก่มัน เหมือนอยู่ในโลกันตนรก ฉะนั้น เมื่อซากเหี่ยวแห้ง แม้เนื้อก็พลอยแห้ง แล้วโลหิตก็เหือดหาย มันไม่มีทางออก ก็เกิดความกลัว ซมซานไปกัดทางโน้น ทางนี้ วุ่นวายหาทางออกอยู่

      เมื่อสุนัขจิ้งจอกนั้นตกอยู่ในท้องช้างอย่างนี้ ก็เป็นเหมือนก้อนแป้งในหม้อข้าว ล่วงมาสองสามวันฝนตกใหญ่ ครั้นซากนั้นชุ่มน้ำฝนก็พองขึ้น จนมีสัณฐานเป็นปกติ วัจมรรคก็เปิด มันเห็นช่องนั้น คิดว่า คราวนี้เรารอดได้แน่แล้ว ถอยหลังไปจนจดหัวช้าง วิ่งไปโดยเร็ว เอาหัวชนวัจมรรคออกไปได้ เพราะว่าร่างกายของมันซูบซีดเหี่ยวแห้ง ขนทั้งหมดก็เลยติดอยู่ที่วัจมรรคนั่นเอง มันมีจิตสะดุ้ง ด้วยสรีระอันไร้ขน เหมือนลำตาล วิ่งไปครู่หนึ่ง กลับนั่งมองดูสรีระแล้วสลดใจ ว่าทุกข์นี้ของเรา สิ่งอื่นมิได้ทำให้เลยแต่เพราะความโลภเป็นเหตุ เพราะความโลภเป็นตัวการ เราอาศัยความโลภ ก่อทุกข์นี้ไว้เอง บัดนี้นับแต่นี้ เราจะไม่ยอมอยู่ในอำนาจของความโลภ ขึ้นชื่อว่า ซากช้างละก็เราจะไม่ขอเข้าไปอีก

      สุนัขจิ้งจอกนั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็หนีไปจาก ที่นั้นทันที ขึ้นชื่อว่า สรีระช้างตัวนั้นหรือตัวอื่น มันจะไม่ยอมเหลียวหลังไปมองดูอีกเลย ต่อจากนั้น สุนัขจิ้งจอกนั้น ก็ไม่ตกอยู่ในอำนาจของความโลภ.

      พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า กิเลสที่เกิดขึ้นภายใน ต้องไม่ให้พอกพูนได้ ควรข่มเสียทันทีทันใดทีเดียว แล้วตรัสประกาศสัจจะทั้งหลาย ทรงประชุมชาดก

      ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป ก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล

      ในบรรดาภิกษุที่เหลือเล่า บางเหล่าก็ได้เป็นพระโสดาบัน

      บางเหล่าเป็นพระสกทาคามี

      บางเหล่าได้เป็นพระอนาคามี ก็ในกาลครั้งนั้น สิคาล (จิ้งจอก) ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ สิคาลชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ