Thai Chinese (Traditional) English French Italian Portuguese Russian
พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

 

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๘. วรุณวรรค

วรุณชาดก

ว่าด้วยการทำไม่ถูกขั้นตอน

ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถี เป็นสหายกันประมาณ ๓๐ คน ถือของหอม ดอกไม้และผ้าเป็นต้น คิดกันว่า พวกเราจักฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา จึงพากันไปสู่วิหารเชตวัน นั่งพักในโรงชื่อ นาคมาฬกะ และวิสาลมาฬกะเป็นต้น พอเวลาเย็นเมื่อพระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎี อันอบแล้วด้วยกลิ่นหอม เสด็จดำเนินไปสู่ธรรมสภา ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อันตกแต่งแล้ว จึงพากันไปสู่ธรรมสภา พร้อมด้วยบริวาร บูชาพระศาสดาด้วยของหอมและดอกไม้ ถวายบังคมแทบบาทยุคล แล้วนั่งฟังพระธรรมอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง พวกเขาพากันปริวิตกว่า เราทั้งหลายต้องบวช ถึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วได้กว้างขวาง

ในเวลาที่พระตถาคตเสด็จออกจากธรรมสภา พวกกุลบุตรเหล่านั้น ก็พากันเข้าไปเฝ้าถวายบังคมทูลขอบรรพชา พระศาสดาทรงประทานบรรพชาแก่พวกเขา พวกเขากระทำให้อาจารย์และอุปัชฌาย์โปรดปรานแล้ว ได้อุปสมบท อยู่ในสำนักของอาจารย์และอุปัชฌาย์ ๕ พรรษา ท่องมาติกาทั้ง ๒ คล่องแคล่ว รู้สิ่งที่เป็นกัปปิยะ และอกัปปิยะ เรียนอนุโมทนา ๓ เย็นย้อมจีวรแล้วกราบลาอาจารย์และอุปัชฌาย์ว่า พวกกระผมจักบำเพ็ญสมณธรรม แล้วพากันเข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลวิงวอนว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์เอือมระอาในภพทั้งหลาย กลัวแต่ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ขอพระองค์จงตรัสบอก พระกรรมฐาน เพื่อปลดเปลื้องตนจากสังสารทุกข์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเหล่านั้นเถิด พระเจ้าข้า”

พระศาสดาทรงทราบสัปปายะ จึงตรัสบอกพระกรรมฐานข้อหนึ่ง ในกรรมฐาน ๓๘ ประการ แก่ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่านั้น เรียนพระกรรมฐานในสำนักของพระศาสดาแล้ว ถวายบังคมพระศาสดา กระทำปทักษิณ ไปสู่บริเวณอำลาอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ ถือเอาบาตรและ จีวรออกจากวิหารไปด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักบำเพ็ญสมณธรรม.

ครั้งนั้นในระหว่างภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง โดยชื่อ เรียกกันว่า กุฏุมพิกปุตตติสสเถระ เป็นผู้เกียจคร้าน มีความเพียรทราม ติดรสอาหาร เธอคิดอย่างนี้ว่า เราจักไม่สามารถเพื่ออยู่ในป่า ไม่อาจจะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการเที่ยวภิกษาจาร การไปป่าไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่เราเลย เราจักกลับ เธอทอดทิ้งความเพียรเสียแล้ว เดินตามภิกษุเหล่านั้นไปได้หน่อยหนึ่ง แล้วกลับเสีย

ฝ่ายภิกษุเหล่านั้น พากันจาริกไปในแคว้นโกศล ถึงหมู่บ้านชายแดนตำบลหนึ่ง ก็เข้าอาศัยหมู่บ้านนั้นจำพรรษาอยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เป็นผู้ไม่ประมาทเพียรพยายามอยู่ตลอด ระยะกาลภายในไตรมาสถือเอาห้องวิปัสสนา ยังปฐพีให้บรรลือลั่น บรรลุพระอรหัตต์แล้ว พอออกพรรษา ปวารณาแล้วปรึกษากันว่า จักกราบทูลคุณที่ตนได้บรรลุแล้ว แด่พระศาสดา จึงพากันออกจากปัจจันตคาม ถึงพระเชตวันมหาวิหารโดยลำดับ เก็บบาตรและจีวรเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าพบอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ ปรารถนาจะเฝ้าพระตถาคตเจ้า พากันไปยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งเฝ้าอยู่

พระศาสดาได้ทรงกระทำปฏิสันถาร ด้วยพระดำรัสอันไพเราะกับภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่านั้นได้รับปฏิสันถารแล้ว จึงกราบทูลคุณที่ตนได้แล้วแด่พระตถาคต พระศาสดาทรงสรรเสริญภิกษุเหล่านั้น พระกุฏุมพิกปุตตติสส เถระเห็นพระศาสดาตรัสสรรเสริญคุณของภิกษุเหล่านั้น แม้ตนเองก็ประสงค์จะบำเพ็ญสมณธรรมบ้าง ฝ่ายภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น กราบทูลลาพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จักไปอยู่ที่ชายป่านั้น พระศาสดาทรงอนุญาตแล้ว พวกภิกษุเหล่านั้น ถวายบังคมพระศาสดาแล้วได้พากันไปสู่บริเวณ

ครั้งนั้นพระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระนั้น บำเพ็ญเพียรจัด ในระหว่างเวลารัตติกาล บำเพ็ญสมณธรรมโดยรีบเร่งเกินไป พอถึงเวลาระยะมัชฌิมยาม ทั้ง ๆ ที่ยืนพิงแผ่นกระดาน สำหรับพัก หลับไป กลิ้งตกลงมา กระดูกขาของท่านแตก เกิดเวทนามากมาย เมื่อภิกษุเหล่านั้นต้องช่วยปฏิบัติเธอ การเดินทางก็ชะงัก ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสถามภิกษุเหล่านั้น ผู้พากันมาในเวลาเป็นที่บำรุงว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอบอกลาเมื่อวานว่า จักพากันไปในวันพรุ่งนี้มิใช่หรือ”  

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “เช่นนั้น ก็แต่ว่าท่านติสสเถระบุตรกุฏุมพี สหายของข้าพระองค์ทั้งหลาย กระทำสมณธรรมอย่างรีบเร่ง ในเวลามิใช่กาล ถูกความง่วงครอบงำ กลิ้งตกลงไป กระดูกขาแตก เพราะเธอเป็นเหตุ พวกข้าพระองค์จึงจำต้องงดการเดินทาง”

พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุนี้ รีบเร่งกระทำความเพียรในเวลามิใช่กาล เพราะความที่ตนเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อน จึงกระทำอันตรายการเดินทางของพวกเธอ แม้ในครั้งก่อน ภิกษุนี้ก็ได้ทำอันตรายการเดินทางของพวกเธอมาแล้วเหมือนกัน” ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ให้มาณพ ๕๐๐ คน เล่าเรียนศิลปะอยู่ในเมืองตักกสิลา แคว้นคันธาระ ครั้นวันหนึ่งมาณพเหล่านั้น พากันไปป่าเพื่อหาฟืนแล้วรวบรวมฟืนไว้ ในพวกมาณพเหล่านั้นมีมาณพผู้เกียจคร้านอยู่คนหนึ่ง เห็นต้นกุ่มใหญ่สำคัญว่าต้นไม้นี้เป็นต้นไม้แห้ง คิดว่า นอนเสียชั่วครู่หนึ่งก่อนก็ได้ ทีหลังค่อยขึ้นต้น หักฟืนทิ้งลงหอบเอาไป จึงปูลาดผ้าห่มลงนอนกรนหลับสนิท ส่วนมาณพอื่น ๆ ก็พากันผูกฟืนเป็นมัด ๆ แล้วแบกไป เอาเท้ากระทืบมาณพนั้นที่หลังปลุกให้ตื่น แล้วพากันไป มาณพผู้เกียจคร้านลุกขึ้นขยี้ตาจนหายง่วงแล้ว ก็ปีนขึ้นต้นกุ่ม จับกิ่งเหนี่ยวมาตรงหน้าตน พอหักแล้ว ปลายไม้ก็ดีดเอานัยน์ตาของตนแตกไป เอามือข้างหนึ่งปิดตาไว้ ข้างหนึ่งหักฟืนสด ๆ ลงจากต้น มัดเป็นมัดแบกไปโดยเร็ว เอาไปทิ้งทับบนฟืนที่พวกมาณพเหล่านั้นกองกันไว้อีกด้วย

ในวันนั้น ตระกูลหนึ่งจากหมู่บ้านในชนบท นิมนต์อาจารย์ไว้ว่า “พรุ่งนี้ พวกกระผมจักกระทำการสวดมนต์” พราหมณ์อาจารย์จึงกล่าวกะพวกมาณพว่า “พ่อทั้งหลาย พรุ่งนี้ต้องไปถึงหมู่บ้านตำบลหนึ่ง แต่พวกเธอถ้าไม่ได้กินอาหารก่อนจักไม่อาจไปได้ ต้องให้เขาต้มข้าวแต่เช้าตรู่ กินข้าวแล้วจึงไปที่นั่น ทำกิจเสร็จแล้วรีบพากันมาเถิด” พวกมาณพเหล่านั้นจึงปลุกทาสีให้ลุกขึ้นต้มข้าวต้มแต่เช้าตรู่ สั่งว่าเจ้าจงรีบต้มข้าวต้มให้แก่พวกเราโดยเร็ว ทาสีนั้นไปหอบฟืนก็หอบเอาฟืนไม้กุ่มสดไป แม้จะใช้ปากเป่าลมบ่อย ๆ ก็ไม่อาจให้ไฟลุกได้ จนดวงอาทิตย์ขึ้น พวกมาณพเห็นว่า สายนักแล้ว บัดนี้ พวกเราไปไม่ทันแล้ว จึงพากันไปสำนักท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ถามว่า

“พ่อเอ๋ย พวกเจ้าไม่ได้ไปกันดอกหรือ” พวกมาณพตอบว่า “ครับ ท่านอาจารย์ พวกกระผมไม่ได้ไป”

อาจารย์ถามว่า “เพราะเหตุไร” จึงตอบว่า “มาณพเกียจคร้านโน่น ไปป่าเพื่อหาฟืนกับพวกผม ไปนอนหลับเสียที่โคนกุ่ม ทีหลังจึงรีบขึ้นไป ไม้ลัดเอาตาแตก หอบเอาไม้สด ๆ มาโยนไว้ข้างบนฟืนที่พวกผมหามา คนต้มข้าว ขนเอาฟืนสด ๆ นั้นไปด้วยสำคัญว่าเป็นฟืนแห้ง จนดวงอาทิตย์ขึ้นสูง ก็ไม่อาจก่อไฟให้ลุกได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง” ท่านอาจารย์ฟังสิ่งที่มาณพกระทำผิดพลาดแล้วกล่าวว่า ความเสื่อมเสียเห็นปานนี้ย่อมมีได้ เพราะอาศัยกรรมของพวกอันธพาล

พระโพธิสัตว์ กล่าวเหตุนี้แก่เหล่าอันเตวาสิก ด้วยประการฉะนี้ แล้วกระทำบุญมีทานเป็นต้น ในสุดท้ายแห่งชีวิต ก็ไปตามคัลลองของกรรม.

พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุนี้กระทำอันตรายต่อการเดินทางของพวกเธอ แม้ในครั้งก่อนก็ได้กระทำแล้วเหมือนกันดังนี้” ทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

มาณพผู้ถึงแก่นัยน์ตาแตกในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุผู้กระดูกขาแตกในบัดนี้

มาณพที่เหลือมาเป็นพุทธบริษัท

ส่วนพราหมณ์ผู้อาจารย์ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ วรุณชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ