Thai Chinese (Traditional) English French Italian Portuguese Russian
พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

 

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๙. อปายิมหวรรค

กาฬกัณณิชาดก

ว่าด้วยมิตร

พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภมิตรของท่านอนาถบิณฑิกะผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ได้ยินว่า มิตรผู้นั้นมีชื่อว่า กาฬกรรณี ได้เคยเป็นสหายกับท่านอนาถบิณฑิกะมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทั้งเรียนศิลปะในสำนักอาจารย์เดียวกัน  กาฬกรรณีนั้น เมื่อกาลล่วงผ่านไป ก็เป็นผู้ตกยาก ไม่อาจเลี้ยงชีวิตได้ จึงไปยังสำนักของท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีก็ปลอบสหาย ให้เสบียงแล้วมอบสมบัติของตนแบ่ง ให้ไป เขาเป็นผู้ทำอุปการะแก่ท่านเศรษฐี ทำกิจการทุกอย่าง เวลาที่เขามาสู่สำนักท่านเศรษฐี คนทั้งหลายพากันกล่าวว่า หยุดเถิด กาฬกรรณี นั่งเถิดกาฬกรรณี กินเถิดกาฬกรรณี

อยู่มาวันหนึ่ง หมู่มิตร และอำมาตย์ของท่านเศรษฐี พากันเข้าไปหาท่านเศรษฐี แล้วพูดอย่างนี้ว่า อย่าเลี้ยงเขาไว้ใกล้ชิดอย่างนี้เลย ท่านมหาเศรษฐี เพราะแม้ยักษ์เองก็ยังต้องหนีด้วยเสียงนี้ว่า หยุดเถิด กาฬกรรณี นั่งเถิดกาฬกรรณี กินเถิดกาฬกรรณี เขาเองก็มิได้เสมอกับท่าน ตกยาก เข็ญใจ ท่านจะเลี้ยงคนซึ่งชื่ออันไม่เป็นมงคลนี้ไว้ทำไม

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กล่าวว่า ธรรมดาว่าชื่อเป็นคำเรียกร้อง หมู่บัณฑิตมิได้ถือชื่อเป็นประมาณ ไม่ควรจะเป็น คนประเภทที่ชื่อว่า "สุตมังคลิกะ" (ถือมงคลจากเสียงที่ได้ยิน) เราไม่อาจอาศัยเหตุเพียงแต่ชื่อ แล้วทอดทิ้งเพื่อนผู้เล่นกันมาตั้งแต่เด็กด้วยกัน ดังนี้แล้ว มิได้ยึดถือถ้อยคำของพวกนั้น วันหนึ่งเมื่อจะไปบ้านส่วยของตน ได้ตั้งเขาเป็นผู้รักษาเคหะสถาน.

พวกโจรคบคิดกันว่า ได้ข่าวว่าเศรษฐีไปบ้านส่วย พวกเราระดมกันปล้นบ้านของเขาเถิด พากันถืออาวุธต่าง ๆ มาใน เวลากลางคืน ล้อมเรือนไว้ ฝ่ายกาฬกรรณี ระแวงการมาของพวกโจรอยู่ จึงนั่งเฝ้าไม่ยอมหลับนอนเลย ครั้นรู้ว่า พวกโจรพากันมา เพื่อจะปลุกพวกคนในบ้านจึงตะโกนว่า เจ้าจงเป่าสังข์ เจ้าจงตีกลอง ดังนี้แล้ว ทำให้เป็นเหมือนมีมหรสพโรงใหญ่ กระทำนิเวศน์ทั้งสิ้นให้มีเสียงสนั่นครื้นเครงตลอดไป พวกโจรพากันพูดว่า ข่าวที่ว่า เรือนว่างเปล่าพวกเราฟังมาเหลว ๆ ท่านเศรษฐียังคงอยู่ แล้วต่างทิ้งก้อนหิน และไม้พลองเป็นต้น ไว้ตรงนั้นเองหนีไปหมด

รุ่งขึ้นพวกมนุษย์ เห็นก้อนหินและไม้พลองเป็นต้น ที่พวกโจรทิ้งไว้ในที่นั้น ๆ ต่างสลดใจไปตาม ๆ กัน พูดกันว่า ถ้าวันนี้ไม่มีคนตรวจเรือน ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้ขนาดนี้แล้ว พวกโจรจักพากันเข้าได้ตามความพอใจ ปล้นเรือนได้หมดเป็นแน่ เพราะอาศัยมิตรผู้มั่นคงผู้นี้ ความจำเริญจึงเกิดแก่ท่านเศรษฐี ต่างพากันสรรเสริญกาฬกรรณีนั้น

เวลาที่เศรษฐีมาจากบ้านส่วย ก็พากันบอกเรื่องราวนั้นให้ทราบทุกประการ ครั้งนั้นท่านเศรษฐีได้พูดกับคนเหล่านั้นว่า พวกเธอบอกให้เราไล่มิตรผู้รักษาเรือนอย่างนี้ไปเสีย ถ้าเราไล่เขาไปตามถ้อยคำของพวกเธอเสียแล้ว วันนี้ทรัพย์สินของเราจักไม่มีเหลือเลย ธรรมดาว่า ชื่อไม่เป็นประมาณดอก จิตที่คิดเกื้อกูล เท่านั้นเป็นประมาณ ดังนี้แล้ว ให้ทรัพย์เป็นทุนแก่เขายิ่ง ๆ ขึ้นไป ดำริว่า บัดนี้ เรามีเรื่องที่จะเริ่มเป็นหัวข้อกราบทูลได้แล้ว ไปสู่สำนักพระศาสดา กราบทูลเรื่องราวนั้นแต่ต้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่มิตรชื่อว่า กาฬกรรณี รักษาทรัพย์สินในเรือนแห่งมิตรของตนไว้ แม้ในครั้งก่อนก็รักษาแล้วเหมือนกัน ท่านเศรษฐี กราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นเศรษฐีมียศยิ่งใหญ่ ท่านเศรษฐีได้มีมิตรชื่อ กาฬกรรณี เรื่องราวทั้งหมดก็เหมือนกับเรื่องปัจจุบันนั่นแหละ พระโพธิสัตว์มาจากบ้านส่วยแล้วฟังเรื่องนั้นแล้ว กล่าวว่า ถ้าเราไล่มิตรเช่นนี้ออกไปเสียตามคำของพวกท่านแล้ว วันนี้ทรัพย์สมบัติของเราจักไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :

"บุคคลชื่อว่าเป็นมิตรด้วยการเดินร่วมกัน ๗ ก้าว ชื่อว่าเป็นสหาย

ด้วยการเดินร่วมกัน๑๒ ก้าว และชื่อว่าเป็นญาติ

ด้วยการอยู่ร่วมกันเดือนหนึ่งหรือกึ่งเดือน

ส่วนผู้ชื่อว่าเป็นผู้เสมอกันกับตน ก็ด้วยการอยู่ร่วมกันยิ่งกว่านั้น

เราจะละทิ้งมิตรชื่อว่า กาฬกรรณี ผู้ชอบพอกันมานาน

เพราะความสุขส่วนตัวได้อย่างไร " ดังนี้.

ตั้งแต่นั้นมา ก็มิได้มีใคร ๆ ที่จะได้ชื่อว่า กล่าวละลาบละล้วง กาฬกรรณีนั้นอีกเลย.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

กาฬกรรณีในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์ในครั้งนี้

ส่วนพาราณสีเศรษฐี ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ กาฬกัณณิชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ