ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๒. สีลวรรค
นฬปานชาดก
ว่าด้วยการพิจารณา
พระศาสดาเมื่อเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท ถึงบ้านนฬกปานคาม ประทับอยู่ในเกตกวัน ใกล้นฬกปานโบกขรณี ทรงปรารภท่อนไม้อ้อทั้งหลาย จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายอาบน้ำในสระโบกขรณีชื่อว่า นฬกปานะ แล้วให้พวกสามเณรเอาท่อนไม้อ้อมาเพื่อต้องการทำกล่องเข็ม เห็นท่อนไม้อ้อเหล่านั้นทะลุตลอด จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถามว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ให้ถือเอาท่อนไม้อ้อทั้งหลายมา เพื่อต้องการทำกล่องเข็ม ท่อนไม้อ้อเหล่านั้นเป็นรูทะลุตลอด ตั้งแต่โคนจนถึงปลาย นี่เหตุอะไรหนอ พระเจ้าข้า ?”
พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นการอธิษฐานเดิมของเรา” แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ป่าชัฏนั้นเป็นป่า มีผีเสื้อน้ำตนหนึ่งเคี้ยวกินคนผู้ที่ลงไป ๆ ในสระโบกขรณีนั้น ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระยากระบี่มีขนาดเท่าเนื้อละมั่ง แวดล้อมด้วยหมู่วานรแปดหมื่นตัว บริหารฝูงอยู่ในป่านั้น พระยากระบี่นั้นได้ให้โอวาทแก่หมู่วานรว่า พ่อทั้งหลาย ในป่านี้มีต้นไม้พิษบ้าง สระโบกขรณีที่เกิดเองอันอมนุษย์หวงแหนบ้าง มีอยู่ในป่านั้นนั่นแหละ ท่านทั้งหลายเมื่อจะเคี้ยวกินผลไม้น้อยใหญ่ที่ยังไม่เคยเคี้ยวกิน หรือเมื่อจะดื่มน้ำที่ยังไม่เคยดื่ม ต้องสอบถามเราก่อน หมู่วานรเหล่านั้นก็พากันรับคำ
วันหนึ่งหมู่วานรก็พากันไปถึงที่ที่ยังไม่เคยไป เที่ยวอยู่ในที่นั้นหลายวันทีเดียว เมื่อจะ แสวงหาน้ำดื่มเห็นสระโบกขรณีสระหนึ่ง ยังไม่ดื่มน้ำ นั่งคอยการมาของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เมื่อมาถึงแล้วจึงกล่าวว่า
“พ่อทั้งหลาย ทำไมจึงยังไม่ดื่มน้ำ”
พวกวานรกล่าวว่า “พวกข้าพเจ้าคอยการมาของท่าน”
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “พ่อทั้งหลาย พวกท่านทำดีแล้ว”
จึงเดินวนเวียนสระโบกขรณีนั้น พิจารณาดูรอยเท้า เห็นแต่รอยเท้าลงไม่เห็นรอยเท้าขึ้น พระโพธิสัตว์นั้นรู้ว่า สระโบกขรณีนี้มีอมนุษย์หวงแหนโดยไม่ต้องสงสัย จึงกล่าวว่า
“พ่อทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่ดื่มน้ำ ทำดีแล้ว สระโบกขรณีนี้อมนุษย์หวงแล้ว”
ฝ่ายผีเสื้อน้ำรู้ว่า วานรเหล่านั้นไม่ลง จึงแปลงเป็นผู้มีท้องเขียว หน้าเหลือง มือเท้าแดงเข้ม รูปร่างน่ากลัว ดูน่าเกลียด แยกน้ำออกมากล่าวว่า
“เพราะเหตุไร พวกท่านจึงนั่งอยู่ จงลงสระโบกขรณีนี้ ดื่มน้ำเถิด”
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ถามผีเสื้อน้ำนั้นว่า “ท่านเป็นผีเสื้อน้ำเกิดอยู่ในสระนี้หรือ ?”
ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า “เออ เราเป็นผู้เกิดอยู่ในสระนี้”
พระโพธิสัตว์ถามว่า “ท่านจับคนที่ลงไป ๆ ยังสระโบกขรณีนี้กินเป็นอาหารหรือ ?”
ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า “เออ เราไม่ปล่อยใคร ๆ แม้กระทั่งนกที่ลงในสระโบกขรณีนี้ เราก็จับกินเสียสิ้น แม้ท่านทั้งหมดเราก็จักกิน”
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “พวกเราจักไม่ให้ท่านกินตัวเรา”
ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า “ก็ท่านทั้งหลายจักดื่มน้ำมิใช่หรือ ?”
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “เออ พวกเราจักดื่มน้ำ และจักไม่ตกอยู่ในอำนาจของท่าน”
ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านจักดื่มน้ำอย่างไร ?”
พระโพธิสัตว์ กล่าวว่า “ก็ท่านคิดหรือว่าเราจักเดินลงสระไปดื่มน้ำ พวกเราจะไม่ลงไป เราจะให้วานรทั้งแปดหมื่น ถือท่อนไม้อ้อคนละท่อน ดื่มน้ำในสระโบกขรณีของท่านเหมือนดื่มน้ำด้วยก้านบัว เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านจักไม่อาจกินพวกเรา”
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้อธิษฐานว่า ไม้อ้อแม้ทั้งหมดที่เกิดรอบสระโบกขรณีนี้ จงเป็นรูตลอด ด้วยสัจบารมีของพระโพธิสัตว์ ตั้งแต่นั้นมา ไม้อ้อที่เกิดรอบสระโบกขรณีทุกต้นก็เกิดเป็นรูเดียวตลอด.
จริงอยู่ ในกัปนี้ ชื่อว่าปาฏิหาริย์อันตั้งอยู่ตลอดกัปมี ๔ ประการเป็นไฉน ?
เครื่องหมายกระต่ายบนดวงจันทร์จักตั้งอยู่ตลอดกัปนี้แม้ทั้งสิ้น ๑
ที่ที่ไฟดับในวัฏฏกชาดก ไฟจักไม่ไหม้ตลอดกัปนี้แม้ทั้งสิ้น ๑
สถานที่เป็นที่อยู่ของฆฏีการช่างหม้อ ฝนไม่รั่วรด จักตั้งอยู่ตลอดกัปนี้แม้ทั้งสิ้น ๑
ไม้อ้อที่ตั้งอยู่รอบสระ โบกขรณีนี้จักเป็นรูเดียว (ไม่มีข้อ) ตลอดกัปนี้แม้ทั้งสิ้น ๑
ชื่อว่าปาฏิหาริย์อัน ตั้งอยู่ชั่วกัป ๔ ประการนี้ ดังพรรณนามาฉะนี้.
พระโพธิสัตว์ครั้นอธิษฐานอย่างนี้แล้ว จึงนั่งถือไม้อ้อลำหนึ่ง ฝ่ายวานรแปดหมื่นตัวแม้เหล่านั้น ก็ถือไม้อ้อลำหนึ่ง ๆ นั่งล้อมสระโบกขรณี ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เอาไม้อ้อสูบน้ำมาดื่ม วานรเหล่านั้นทั้งหมดก็นั่งอยู่ที่ฝั่งดื่มน้ำแล้ว เมื่อวานรเหล่านั้นดื่มน้ำอย่างนี้ ผีเสื้อน้ำไม่ได้กินวานรแม้แต่ตัวเดียวก็เสียใจ จึงกลับไปยังนิเวศน์ของตนนั่นเอง ฝ่ายพระโพธิสัตว์พร้อมทั้งบริวารก็กลับเข้าป่าไปเหมือนกัน.
ส่วนพระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าความที่ไม้อ้อทั้งหลายเหล่านี้เป็นไม้มีรูเดียวนั่นเป็นการอธิษฐานอันมีในกาลก่อนของเราเอง” ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
ผีเสื้อน้ำในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัตในบัดนี้
วานรแปดหมื่นในครั้งนั้น ได้เป็นพุทธบริษัทในบัดนี้
ส่วนพระยากระบี่ผู้ฉลาดในอุบายในครั้งนั้น ได้เป็นเราแล.