ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๙. อปายิมหวรรค
สีลวีมังสนชาดก
ว่าด้วยผู้มีศีล
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพราหมณ์ผู้ทดลองศีลผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ดังได้สดับมา พราหมณ์นั้นอาศัยพระเจ้าโกศลเลี้ยงชีวิต เป็นผู้ถึงไตรสรณาคมน์ มีศีล ๕ ไม่ขาด ถึงฝั่งแห่งไตรเพท พระราชาทรงพระดำริว่า พราหมณ์ผู้นี้มีศีล ดังนี้แล้ว ทรงยกย่องเขาอย่างยิ่ง เขาคิดว่า พระราชานี้ทรงยกย่องเรายิ่งกว่าพราหมณ์อื่น ๆ ทรงเห็นเราเหมือนผู้ควรเคารพอย่างยิ่ง พระองค์ทรงกระทำการยกย่องนี้ เพราะอาศัยชาติสมบัติ โคตรสมบัติ กุลสมบัติ ปเทสสมบัติและศิลปสมบัติของเรา หรืออย่างไร หรือว่า ทรงอาศัยศีลสมบัติของเรา เราจักทดลองดูก่อน
วันหนึ่งท่านไปสู่ที่เฝ้า เมื่อจะกลับบ้านได้หยิบเหรียญกษาปณ์ ๑ อันไปจากแผงของเหรัญญิกคนหนึ่ง โดยมิได้บอกกล่าวเลย ครั้งนั้นเหรัญญิกมิได้พูดอะไรกับท่าน เพราะความเคารพในพราหมณ์คงนั่งเฉย รุ่งขึ้นหยิบไปสองเหรียญ เหรัญญิกคงนิ่งเฉยเหมือนกัน ในวันที่สาม คว้าไปเต็มกำเลย ครั้งนั้นเหรัญญิก ก็พูดกับท่านว่า วันนี้ เป็นวันที่สามที่ท่านฉกชิงเอาทรัพย์สินของพระราชาไป พลางตะโกนบอก ๓ ครั้งว่า เราจับโจรฉกชิงทรัพย์สินของพระราชาไว้ได้แล้ว
ครั้งนั้น ชนทั้งหลายต่างวิ่งมาคนละทิศทาง รุมพูดกะพราหมณ์ว่า ท่านแสร้งประพฤติเหมือนผู้มีศีลมานานจนป่านนี้ ดังนี้แล้ว ต่างก็ติเตียนสองสามที จับมัดไปแสดงแก่พระราชา พระราชาทรงร้อนพระทัย ตรัสว่า ดูก่อนท่านพราหมณ์ เหตุไรเล่าท่านจึงทำกรรมของผู้ทุศีลเช่นนี้ แล้วตรัสว่า พวกเจ้า ไปเถิด จงลงพระราชอาญาแก่พราหมณ์
พราหมณ์กราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์มิใช่โจรดอก พระเจ้าข้า”
พระราชา รับสั่งถามว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไรท่านจึงหยิบเหรียญกระษาปณ์ ไปจากแผงแห่งพระราชทรัพย์เล่า”
พราหมณ์กราบทูลว่า “ขอเดชะ ที่ข้าพระองค์กระทำไป ในเมื่อพระองค์ทรงยกย่อง ข้าพระองค์อย่างยิ่งเช่นนี้นั้น ก็เพื่อจะทดลองว่า พระราชาทรงยกย่องเรายิ่งนัก เหตุทรงอาศัยสมบัติมีชาติเป็นต้นหรืออย่างไร หรือว่าทรงอาศัยศีล บัดนี้ ข้าพระองค์ทรงทราบโดยแน่นอนแล้ว เพราะที่ทรงพระกรุณาโปรดให้ลงพระราชอาญา แก่ข้าพระองค์บัดนี้ เป็นข้อเทียบได้ว่า ความยกย่องที่พระองค์ทรงทำแก่ข้าพระองค์นั้น อาศัยศีลอย่างเดียว มิได้ทรงกระทำ เพราะอาศัยสมบัติมีชาติเป็นต้นเลย”
แล้วกราบทูลต่อไปว่า “ข้าพระองค์นั้นได้ตกลงใจได้ด้วยเหตุนี้ว่า ในโลกนี้ ศีลเท่านั้น สูงสุด ศีลเป็นประมุข ก็เมื่อข้าพระองค์จะกระทำให้สมควรแก่ศีลนี้ ยังดำรงตนอยู่ในเรือน บริโภคกิเลสอยู่ จักไม่อาจกระทำได้ วันนี้แหละข้าพระองค์จักไปสู่พระวิหารเชตวัน บรรพชา ในสำนักพระศาสดา ได้โปรดทรงพระกรุณาพระราชทานการบรรพชาแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”
ครั้นขอพระบรมราชานุญาตได้แล้ว ก็ออกเดินมุ่งหน้าไปพระเชตวันมหาวิหาร ครั้งนั้นหมู่ญาติและพวกพ้องที่สนิทสนมพากันห้อมล้อม เมื่อไม่อาจทัดทานท่านได้ จึงพากันกลับไป.
พราหมณ์ไปสู่สำนักของพระศาสดา ทูลขอบรรพชา ครั้นได้บรรพชาและอุปสมบทแล้ว ก็ไม่ทอดทิ้งพระกรรมฐาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตผล เข้าเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลพยากรณ์พระอรหัตผลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บรรพชาของข้าพระองค์ถึงที่สุดแล้ว คำพยากรณ์พระอรหัตผลนั้น ของท่านปรากฏในภิกษุสงฆ์แล้ว
อยู่มาวันหนึ่งพวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภา นั่งสนทนาถึงคุณของท่านว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย พราหมณ์ผู้อุปัฏฐากพระราชาชื่อโน้น ทดลองศีลของตนแล้ว กราบทูลลาพระราชาบรรพชา ดำรงอยู่ในพระอรหัตผลแล้ว พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบ ทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พราหมณ์ผู้นี้ ทดลองศีลของตนแล้วบวช กระทำที่พึ่งแก่ตนได้ ถึงในกาลก่อนบัณฑิตทั้งหลาย ก็เคยทดลองศีลของตนแล้วบวช กระทำที่พึ่งแก่ตนมาแล้วเหมือนกัน สมเด็จพระบรมศาสดาอันภิกษุเหล่านั้น กราบทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัต พระองค์นั้นเป็นผู้มีจิตใจน้อมไปในทาน มีศีลเป็นอัธยาศัย ถือศีล ๕ ไม่ขาด พระราชาทรงยกย่องท่านยิ่งกว่าพราหมณ์ที่เหลือ
เรื่องทั้งหมดก็เช่นเดียวกับเรื่องแรกนั้นแหละ แปลกแต่ว่า เมื่อพระโพธิสัตว์ถูกเขามัดนำตัวไปสู่สำนักพระราชา พวกหมองู กำลังบังคับงูให้เล่นอยู่ที่ระหว่างถนน พากันจับงูที่หาง จับที่คอ เอางูพันคอ พระโพธิสัตว์เห็นพวกนั้นแล้วกล่าวว่า พ่อคุณทั้งหลาย เจ้าอย่าจับงูนี้ที่หาง อย่าจับที่คอ อย่าเอาไปพันคอ เพราะงูนี้ กัดแล้ว ก็ต้องถึงสิ้นชีวิต พวกหมองูกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ งูนี้มีศีลสมบูรณ์ด้วยมรรยาท มิใช่เป็นผู้ทุศีลอย่างเช่นท่าน ส่วนท่านสิ เป็นผู้หาอาจาระมิได้ เพราะความเป็นผู้ทุศีล ถูกหาว่าเป็นโจรฉกชิงพระราชทรัพย์ กำลังถูกมัดนำตัวไป พราหมณ์ได้คิดว่า แม้พวกงูที่ไม่กัดใคร ไม่เบียดเบียนใคร ก็ได้ชื่อว่ามีศีลได้ จะป่วยกล่าวไปใยถึงพวกที่เป็นมนุษย์ในโลกนี้ ศีลเท่านั้น ที่ชื่อว่าสูงสุด สิ่งอื่นที่จะยิ่งไปกว่าศีลนั้นไม่มี
ครั้นมนุษย์นำตัวไปแสดงแด่พระราชาแล้ว พระราชาตรัสถามว่า “พ่อคุณ นี้เรื่องอะไรกัน”
พวกราชบุรุษกราบทูลว่า “ขอเดชะโจรฉกชิงพระราชทรัพย์ พระเจ้าข้า”
รับสั่งว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงกระทำตามพระราชอาญาแก่เขาเถิด”
พราหมณ์กราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์มิใช่โจรดอก พระเจ้าข้า”
เมื่อรับสั่งว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมถึงได้หยิบเอาเหรียญกระษาปณ์ไปเล่า”
จึงกราบทูลเรื่องราวทั้งมวล โดยนัยที่มีในเรื่องก่อนนั่นเอง แล้วกราบทูลว่า “ด้วยเหตุนี้ ข้าพระองค์นั้นตกลงใจแล้วว่า ในโลกนี้ ศีลเท่านั้นสูงสุด ศีลเป็นประธาน” แล้วกราบทูลว่า “ข้อนี้ยกไว้ก่อนเถิดพระเจ้าข้า แม้แต่อสรพิษไม่กัดใคร ไม่เบียดเบียนใคร ยังได้ชื่อเสียงว่ามีศีลได้เลย แม้เพราะเหตุนี้ ศีลเท่านั้นสูงสุด ศีลประเสริฐ”
พระโพธิสัตว์แสดงธรรมถวายพระราชา ด้วยประการฉะนี้ ละกามทั้งหลาย บวชเป็นฤๅษี เข้าป่าหิมพานต์ ทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้เกิดแล้ว ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอานนท์
บริษัทได้มาเป็นพุทธบริษัท
ส่วนปุโรหิต ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ สีลวิมังสนชาดก