Thai Chinese (Traditional) English French Italian Portuguese Russian
พระพุทธศักดิ์สิทธิ์ วัดโพรงจระเข้
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สืบทอดพระพุทธศาสนา
นำทางสู่การพ้นทุกข์

ขุททกนิกายภาค ๑

เอกนิบาต

๑๒. หังสิวรรค

พันธนโมกขชาดก ว่าด้วยการหลุดพ้นจากเครื่องผูกมัด

      พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภนางจิญจมาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้ เรื่องของนางจักแจ่มแจ้งใน มหาปทุมชาดก ทวาทสนิบาต.

      ก็ในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่นางจิญจมาณวิกา กล่าวตู่เราด้วยเรื่องไม่จริง แม้ในกาลก่อน ก็เคยกล่าวตู่แล้วเหมือนกัน ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

      ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในเรือนของท่านปุโรหิต เจริญวัยแล้วได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัต สืบแทนบิดาผู้ล่วงลับ พระเจ้าพรหมทัตได้พระราชทานพรแก่พระอัครมเหสีไว้ว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ เธอต้องการสิ่งใด พึงบอกสิ่งนั้น พระนางกราบทูลว่า ขึ้นชื่อว่าพระพรอื่น มิได้เป็นสิ่งที่เกล้ากระหม่อมฉันได้ด้วยยากเลย ขอพระราชทานแต่ว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทูลกระหม่อมไม่พึงทอดพระเนตรหญิงอื่น ด้วยอำนาจกิเลส แม้ท้าวเธอจะทรงห้ามไว้ ก็ถูกพระนางเซ้าซี้บ่อย ๆ จึงไม่อาจปฏิเสธคำของพระนางได้ ก็ทรงรับ ตั้งแต่บัดนั้น ก็มิได้ทรงเหลียวแล บรรดานางระบำหมื่นหกพันนาง แม้แต่นางเดียว ด้วยอำนาจกิเลส.

      อยู่มาปัจจันตชนบทของท้าวเธอเกิดกบฏขึ้น พวกโยธาที่ตั้งกองอยู่ในปัจจันตชนบท ทำสงครามกับพวกโจร ๒ - ๓ ครั้ง ก็ส่งใบบอกกราบทูลพระราชาว่า ถ้าศึกหนักยิ่งกว่านี้ พวกข้าพระองค์ไม่อาจฉลองพระเดชพระคุณได้ พระราชามีพระประสงค์จะเสด็จไปในที่นั้น ทรงระดมพลนิกายแล้วรับสั่งให้พระนางเข้าเฝ้า ตรัสว่า นางผู้เจริญ ฉันต้องไปสู่ปัจจันตชนบท ที่นั้นการยุทธมีมากมายหลายแบบ จะชนะหรือแพ้ก็ไม่แน่นอน ในสถานที่เช่นนั้น มาตุคามคุ้มครองได้ยาก เธอจงอยู่ในพระราชวัง นี้แหละ

      ฝ่ายพระนางก็กราบทูลว่า ทูลกระหม่อมเพคะ เกล้ากระหม่อมฉันไม่สามารถจะอยู่ข้างหลัง ดังพระดำรัสได้ อันพระราชาตรัสทัดทานห้ามอยู่บ่อย ๆ ก็กราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้น ทูลกระหม่อมเสด็จไปทุกระยะโยชน์ โปรดสั่งให้คนมาโยชน์ละคน ๆ เพื่อทรงทราบสุขทุกข์ของกระหม่อมฉันนะเพคะ พระราชาทรงรับคำแล้ว ทรงตั้งพระโพธิสัตว์เป็นผู้รักษาพระนคร ทรงยกกองทัพใหญ่ออกไป เมื่อเสด็จไปได้แต่ละโยชน์ ก็ส่งบุรุษคนหนึ่ง ๆ ไปด้วยพระดำรัสว่า เจ้าจงบอกความไม่มีโรคของข้า แล้วรู้สุขทุกข์ของพระเทวีมาเถิด พระนางรับสั่งถามบุรุษที่มาแล้ว ๆ ว่า พระราชาส่งเจ้ามาเพื่ออะไร ? เมื่อราชบุรุษกราบทูลว่า เพื่อต้องการทราบสุขทุกข์ของฝ่าพระบาท ก็รับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นจงมานี่ แล้วทรงสร้องเสพอสัทธรรมกับบุรุษนั้น พระราชาเสด็จไปสิ้นหนทาง ๓๒ โยชน์ ทรงส่งคนไป ๓๒ คน พระนางได้กระทำกับคนเหล่านั้น ทุกคน ทำนองเดียวกันทั้งนั้น.

       พระราชาทรงปราบปรามปัจจันตชนบทราบคาบแล้ว เกลี้ยกล่อมชาวชนบทเป็นอันดีแล้ว เมื่อเสด็จกลับ ก็ทรงส่งคนไป ๓๒ คน โดยทำนองเดียวกันนั่นแหละ พระนางก็ปฏิบัติผิด กับคนแม้เหล่านั้น อย่างนั้นเหมือนกัน พระราชาเสด็จมาถึงที่พักเพื่อฉลองชัย ทรงส่งหนังสือถึงพระโพธิสัตว์ว่า จงเกณฑ์กันตกแต่งบ้านเมืองเถิด พระโพธิสัตว์ก็เกณฑ์คนให้ตกแต่งบ้านเมืองทั่วไป

      เมื่อจะให้คนตกแต่งพระราชนิเวศน์ จึงได้ไปถึงที่ประทับของพระนางเทวี พระนางเมื่อทอดพระเนตรเห็นรูปร่างของพระโพธิสัตว์ที่ถึงความงามเลิศด้วยรูปสมบัติ ก็มิทรงสามารถดำรงพระทัยอยู่ได้ รับสั่งว่า "มานี่เถิดท่านพราหมณ์ เชิญขึ้นสู่ที่นอนเถิด"

      พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า "อย่าได้ตรัสอย่างนี้เลย พระราชาเล่า ก็เป็นที่คารวะของข้าพระบาท ข้าพระบาทเล่าก็กลัวต่ออกุศล ข้าพระบาทไม่อาจทำอย่างนั้นได้"

      รับสั่งว่า "พระราชาไม่เป็นที่เคารพของข้าบาทมูลทั้ง ๖๔ คน และคนเหล่านั้นก็ไม่กลัวอกุศล เจ้าคนเดียวเคารพพระราชา เจ้าคนเดียวกลัวอกุศล"

      กราบทูลว่า "พระเจ้าข้า ถ้าแม้คนเหล่านั้น พึงเป็นอย่างนั้นไซร้ ข้าพระบาทไม่พึงเป็นอย่างนั้น ก็ข้าพระบาทรู้อยู่ จักไม่กระทำกรรมอันเลวร้ายอย่างนั้นเลย"

      รับสั่งว่า "เจ้าจะพูดพร่ำให้มากความไปใย ถ้าไม่ทำตามคำของเรา เราจักตัดหัวเจ้าเสีย"

      กราบทูลว่า "ถูกตัดหัวในอัตภาพเดียว ก็พอทำเนา ยังไม่เท่ากับถูกตัดหัว ไปถึงพันอัตภาพ ข้าพระบาทไม่อาจทำอย่างนี้"

      พระนางตรัสว่า "เอาละ จะได้รู้ดีรู้ชั่วกัน" แล้วเสด็จเข้าของพระองค์ ทำรอยเล็บไว้ที่ร่างกายแล้วชะโลมตัวด้วยน้ำมัน นุ่งผ้าเก่าทำเหมือนเป็นไข้ สั่งนางทาสีทั้งหลายว่า เมื่อพระราชารับสั่งว่า พระเทวีไปไหน พึงทูลว่า ประชวรนะ.

      ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ได้ไปรับเสด็จพระราชา พระราชาทรงกระทำประทักษิณพระนครแล้ว เสด็จขึ้นสู่ปราสาท รับสั่งถามว่า "พระเทวีไปไหน"

      พวกทาสีกราบทูลว่า "พระเทวีทรงพระประชวร พระเจ้าข้า"

      ท้าวเธอเสด็จเข้าสู่ห้องบรรทมทรงลูบหลังพระนาง พลางตรัสถามว่า "ดูก่อนนางผู้เจริญเธอไม่สบายเป็นอะไรไป"

      พระนางนิ่งเฉยเสีย ในวาระที่ ๓ จึงชำเลืองมองพระราชา พลางกราบทูลว่า "ข้าแต่พระทูลกระหม่อม แม้ว่าพระองค์ยังดำรงพระชนม์อยู่ หญิงทั้งหลายแม้เช่นกับหม่อมฉัน ก็ยังเป็นหญิงมีสามีเดียวอยู่โดยแท้จริง"

      รับสั่งถามว่า "ก็ข้อนั้นมันเรื่องอะไรเล่า นางผู้เจริญ"

      กราบทูลว่า "ปุโรหิตที่ทูลกระหม่อมทรงแต่งตั้งไว้รักษาพระนคร มาในที่นี้บอกว่า จักตกแต่งพระนิเวศน์ แล้วข่มขืนกระหม่อมฉันผู้ไม่กระทำตามคำของตน ทำเอาสมใจแล้วจึงไปเพคะ"

      พระราชาทรงแผดพระสุรเสียงอยู่ฉาดฉานด้วยทรงกริ้ว ประหนึ่งโยนก้อนเกลือเข้ากองไฟฉะนั้น เสด็จออกจากห้องบรรทมรับสั่งให้หานายประตูและข้าบาทมูลเป็นต้น ตรัสว่า "เหวยพนักงาน พวกเจ้าจงพากันไปจับไอ้ปุโรหิต มัดแขน ไพล่หลัง พาออกไปจากพระนคร นำตัวไปสู่ตะแลงแกง ตัดหัวมันเสีย"

      พวกราชบุรุษพากันรีบรุดไปจับ พระโพธิสัตว์มัดไพล่หลัง แล้วเที่ยวตระเวนตีกลองร้องประกาศไป พระโพธิสัตว์ดำริว่า "พระราชาคงถูกพระเทวีตัวร้ายนั้น กราบทูลยุยงเอาก่อนเป็นแน่ คราวนี้เราต้องแก้ต่างเปลื้องตน ด้วยปรีชาญาณของตนเอง ในวันนี้ให้จงได้" พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะราชบุรุษเหล่านั้นว่า "พ่อคุณทั้งหลาย พวกเธออย่าเพิ่งฆ่าเราเลย พาเราเข้าเฝ้าพระราชาแล้วค่อยฆ่าเถิด"

      พวกราชบุรุษ ถามว่า "เพราะเหตุไร"

      จึงบอกว่า "เราเป็นข้าราชการ การงานที่เราทำไว้มีมาก เราย่อมรู้ที่ตั้งแห่งขุมทรัพย์มากแห่ง ท้องพระคลังหลวงเล่า เราก็ตรวจตรา ถ้าไม่นำเราเข้าเฝ้าพระราชาแล้ว ทรัพย์เป็นอันมากจักสาบสูญ ขอโอกาส พอเราได้บอกสมบัติแด่พระราชาแล้ว พวกท่านค่อยกระทำโทษที่ต้องกระทำภายหลังเถิด"

      พวกราชบุรุษจึงพาพระโพธิสัตว์เข้าเฝ้าพระราชา.

      พระราชาพอทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์เข้าเท่านั้น ก็ตรัสว่า "เฮ้ย เจ้าพราหมณ์ เหตุไรเล่าจึงมิได้ยำเกรงเราเลย เหตุไรเล่า เจ้าจึงทำกรรมชั่วช้าสามาลย์ได้ถึงขนาดนี้"

      พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์นั้นเกิดในสกุลโสตถิยพราหมณ์ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแม้เพียงมดดำ มดแดง ข้าพระองค์ก็ไม่เคยกระทำ สิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แม้เพียงเส้นหญ้า ข้าพระองค์ก็ไม่เคยถือเอาเลย สตรีของผู้อื่น ข้าพระองค์ก็ไม่เคยแม้จะเพียงลืมตาดูด้วยอำนาจความโลภ คำเท็จแม้ด้วยอำนาจแห่งความร่าเริง ข้าพระองค์ก็ไม่เคยกล่าว น้ำเมาเพียงหยดด้วยยอดหญ้า ข้าพระองค์ก็ไม่เคยดื่ม ข้าพระองค์ปราศจากความผิดในพระองค์ แต่นางเป็นพาล จับมือข้าพระองค์ด้วยอำนาจแห่งความโลภ ทั้ง ๆ ที่ข้าพระองค์ห้าม กลับตวาดข้าพระองค์ เปิดเผยความชั่วที่ตนกระทำไว้ บอกแก่ข้าพระองค์ แล้วเข้าไปภายในห้อง ข้าพระองค์ปราศจากความผิด แต่คนทั้ง ๖๔ ที่ถือหนังสือมามีความผิด ข้าแต่สมมติเทพ โปรดตรัสเรียกคนเหล่านั้น มาตรัสถามว่า พวกเหล่านั้นกระทำตามคำของพระนางหรือไม่ได้กระทำเถิด พระเจ้าข้า"

      พระราชารับสั่งให้นำคนทั้ง ๖๔ คนเหล่านั้นมาสอบสวน ทั้งหมดก็รับเป็นสัตย์ พระราชาจึงรับสั่งให้จองจำคนทั้ง ๖๔ แล้วรับสั่งให้หาพระเทวีมาเฝ้า มีพระดำรัสถามว่า "เจ้าทำกรรมชั่วกับคนเหล่านี้หรือไม่ได้กระทำ" ครั้นนางกราบทูลรับว่า "ทำเพคะ" จึงรับสั่งให้มัดนางไพล่หลังไว้ แล้วทรงสั่งว่า "พวกเจ้า จงตัดหัวของคน ๖๔ คน เหล่านี้เสีย"

      ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์กราบทูลท้าวเธอว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า คนเหล่านี้ก็ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า เทวีบังคับให้กระทำตามใจชอบของตน คนเหล่านี้ไร้ความผิด เหตุนั้นพระองค์โปรดทรงพระกรุณาอดโทษแก่คนเหล่านี้เถิดพระเจ้าข้า แม้พระเทวีก็ไม่มีโทษพระเจ้าข้า ธรรมดาหญิงทั้งหลาย เป็นผู้ไม่อิ่มด้วยเมถุนธรรม แท้จริง ความไม่อิ่มด้วยเมถุนธรรมนี้ เป็นสภาวธรรมประจำกำเนิด สิ่งที่ควรจะต้องมี ก็ย่อมมีแก่พวกนางเท่านั้น เพราะเหตุนั้น จงทรงพระกรุณางดโทษพระนางด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

      แล้วได้กราบทูลด้วยประการต่าง ๆ จนพระราชาตกลงพระทัยทรงปล่อยคน ๖๔ นั้น และเทวีผู้เป็นพาล ให้พระราชทานฐานะตามตำแหน่งเดิมของตนแก่คนทั้งปวง พระโพธิสัตว์ครั้นให้พระราชาโปรด ปล่อยคนทั้งหมดแล้ว ทรงแต่งตั้งในตำแหน่งเดิมของตนอย่างนี้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า หมู่บัณฑิตผู้ไม่น่าจะถูกจองจำ ถูกมัดไพล่หลังได้ เพราะถ้อยคำอันไม่มีหลักของคนที่เรียกกันว่าอันธพาล หมู่บัณฑิตรอดพ้นได้ แม้จากการถูกมัดไพล่หลัง ด้วยถ้อยคำที่ชอบด้วยเหตุ ขึ้นชื่อว่าพวกพาล แม้คนที่ไม่น่าจะจองจำ ก็ทำให้ต้องจองจำได้ บัณฑิตย่อมแก้ไขให้รอดจากการจองจำทั้งหลายได้อย่างนี้ พระเจ้าข้า"

      พระโพธิสัตว์ แสดงธรรมแก่พระราชาด้วยประการฉะนี้แล้ว กราบทูลขออนุญาตการบรรพชาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ทุกข์ทั้งนี้ข้าพระองค์ได้เพราะการอยู่ครองเรือน บัดนี้ข้าพระองค์ไม่มีกิจด้วยการครองเรือน โปรดทรงอนุญาตการบรรพชาแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิดพระเจ้าข้า แล้วสละญาติ และสมบัติอันมากมาย บวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่าหิมพานต์ ยังฌานและสมาบัติให้เกิดแล้ว ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า"

      พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

      เทวีตัวร้ายในครั้งนั้น ได้มาเป็นนางจิญจมาณวิกาในครั้งนี้

      พระราชาได้มาเป็นอานนท์

      ส่วนปุโรหิต ได้มาเป็นเรา ตถาคต ฉะนี้แล.

 

จบ พันธนโมกขชาดก

อรรถกถาชาดกพระเจ้า 547 พระชาติ

เชิญร่วมบุญ