ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๗. อิตถีวรรค
กุททาลชาดก
ว่าด้วยความชนะที่ดี
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระจิตหัตถสารีบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า พระจิตหัตถสารีบุตร เป็นเด็กที่เกิดในตระกูล ผู้หนึ่งในพระนครสาวัตถี อยู่มาวันหนึ่งไถนาแล้ว ขากลับได้เข้าไปสู่วิหาร ได้โภชนะประณีตอร่อย มีรสสนิทจากบาตรพระเถระองค์หนึ่ง คิดว่า ถึงแม้เราจะกระทำงานต่าง ๆ ด้วยมือของตน ตลอดคืนตลอดวัน ก็ยังไม่ได้อาหารอร่อยอย่างนี้ แม้เราก็สมควรจะเป็นสมณะ ดังนี้ เขาบวชแล้วอยู่มาได้ประมาณครึ่งเดือน เมื่อไม่ใส่ใจโดยแยบคาย ตกไปในอำนาจกิเลส จึงสึกไป พอลำบากด้วยเรื่องอาหารก็มาบวชอีก เรียนพระอภิธรรม ด้วยอุบายนี้ สึก แล้วบวชถึง ๖ ครั้ง ในความเป็นภิกษุครั้งที่ ๗ เป็นผู้ทรงพระอภิธรรม ๗ พระคัมภีร์ ได้บอกธรรมแก่ภิกษุเป็นอันมาก บำเพ็ญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัตถ์แล้ว
ครั้งนั้นภิกษุผู้เป็นสหายของท่าน พากันเยาะเย้ยว่า “อาวุโส จิตหัตถ์ เดี๋ยวนี้กิเลสทั้งหลายของเธอไม่เจริญเหมือนเมื่อก่อนดอกหรือ” ท่านตอบว่า “ผู้มีอายุ ตั้งแต่บัดนี้ไป ผมไม่เหมาะเพื่อความเป็นคฤหัสถ์ ก็เมื่อท่านบรรลุพระอรหัตอย่างนี้แล้ว เกิดโจทย์กันขึ้น ในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่ออุปนิสัยแห่งพระอรหัต เห็นปานนี้มีอยู่ ท่านพระจิตหัตถสารีบุตร ต้องสึกถึง ๖ ครั้ง โอ ! ความเป็นปุถุชน มีโทษมากดังนี้”
พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอสนทนากันด้วย เรื่องอะไร”
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าจิตของปุถุชน เมา ข่มได้ยาก คอยไปติดด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ ลงติดเสียครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่อาจปลดเปลื้องได้โดยเร็ว การฝึกฝนจิตเห็นปานนี้ เป็นความดี จิตที่ฝึกฝนดีแล้วเท่านั้น จะนำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขมาให้”
ครั้นแล้วตรัสต่อไปว่า “ก็เพราะเหตุที่จิตนั้นข่มได้โดยยาก บัณฑิตทั้งหลาย แม้ในกาลก่อนอาศัยจอบเล่มเดียว ไม่อาจทิ้งมันได้ ต้องสึกถึง ๖ ครั้ง ด้วยอำนาจความโลภ ในเพศแห่งบรรพชิต ครั้งที่ ๗ ทำฌานให้เกิดขึ้นแล้ว จึงข่มความโลภนั้นได้” ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคนปลูกผัก ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว ได้นามว่า "กุททาลบัณฑิต" ท่านกุททาลบัณฑิต กระทำการฟื้นดินด้วยจอบ เพาะปลูกพืชพันธ์และผัก มีน้ำเต้า ฟักเขียว ฟักเหลือง เป็นต้น เก็บผักเหล่านั้นขายเลี้ยงชีพ
แท้จริงท่านกุททาลบัณฑิต นอกจากจอบเล่มเดียวเท่านั้น ทรัพย์สมบัติอย่างอื่นไม่มีเลย ครั้นวันหนึ่งท่านดำริว่า จะมีประโยชน์ อะไรด้วยการอยู่ครองเรือน เราจักบวช ดังนี้ ครั้นวันหนึ่ง ท่านซ่อนจอบนั้นไว้ในที่ซึ่งมิดชิด แล้วบวชเป็นฤๅษี ครั้นหวนนึกถึงจอบเล่มนั้นแล้ว ก็ไม่อาจตัดความโลภเสียได้ เลยต้องสึก เพราะอาศัยจอบกุด ๆ เล่มนั้น แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ ก็เป็นอย่างนี้ เก็บจอบนั้นไว้ในที่มิดชิด บวช ๆ สึก ๆ รวมได้ถึง ๖ ครั้ง ในครั้งที่ ๗ ได้คิดว่า เราอาศัยจอบกุด ๆ เล่มนี้ ต้องสึกบ่อยครั้ง คราวนี้เราจักขว้างมันทิ้งเสียในแม่น้ำใหญ่แล้วบวช ดังนี้แล้ว เดินไปสู่ฝั่งแม่น้ำ คิดว่า ถ้าเรายังเห็นที่ตกของมัน ก็จักต้องอยากงมมันขึ้นมาอีก แล้วจับจอบที่ด้าม ท่านมีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง ควงจอบเหนือศีรษะ ๓ รอบ หลับตาขว้างลงไปกลางแม่น้ำ แล้วบันลือเสียงกึกก้อง ๓ ครั้งว่า "เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว".
ในขณะนั้น พระเจ้าพาราณสี ทรงปราบปรามปัจจันตชนบทราบคาบแล้ว เสด็จกลับ ทรงสนานพระเศียรในแม่น้ำนั้น ประดับพระองค์ด้วยเครื่องอลังการครบเครื่อง เสด็จพระดำเนินโดยพระคชาธาร ทรงสดับเสียงของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงระแวงพระทัยว่า บุรุษผู้นี้กล่าวว่า เราชนะแล้ว ใครเล่าที่เขาชนะ จงเรียกเขามา แล้วมีพระดำรัสสั่งให้เรียกมาเฝ้า แล้วมีพระดำรัสถามว่า “ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เรากำลังชนะสงคราม กำความมีชัย มาเดี๋ยวนี้ ส่วนท่านเล่าชนะอะไร” พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช ถึงพระองค์จะทรงชนะสงครามตั้งร้อยครั้งตั้งพันครั้ง แม้ตั้งแสนครั้ง ก็ยังชื่อว่าชนะไม่เด็ดขาดอยู่นั่นเอง เพราะยังเอาชนะกิเลสทั้งหลายไม่ได้ แต่ข้าพระองค์ข่มกิเลสในภายในไว้ได้ เอาชนะกิเลสทั้งหลายได้” กราบทูลไป มองดูแม่น้ำไป ยังฌานมีอาโปกสิณเป็นอารมณ์ ให้เกิดขึ้นแล้ว นั่งในอากาศด้วยอำนาจของฌานและสมาบัติ เมื่อจะแสดงธรรมถวายพระราชา จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า :
"ความชนะที่บุคคลชนะแล้ว กลับแพ้ได้นั้น มิใช่ความชนะเด็ดขาด
(ส่วน) ความชนะที่บุคคลชนะแล้ว ไม่กลับแพ้นั้นต่างหาก
จึงชื่อว่าเป็นความชนะเด็ดขาด" ดังนี้.
ก็เมื่อพระราชาทรงสดับธรรมอยู่นั่นเอง ทรงละกิเลสได้ด้วยอำนาจ ตทังคปหาน พระทัยน้อมไปในบรรพชา ถึงพวกหมู่โยธาของพระองค์ ก็พากันละได้เช่นนั้นเหมือนกัน พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า “บัดนี้พระคุณเจ้าจักไปไหนเล่า” พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์ จักเข้าป่าหิมพานต์บวชเป็นฤๅษี” พระราชารับสั่งว่า “ถ้าเช่นนั้น แม้ข้าพเจ้าก็จะบรรพชา” แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปพร้อมกับพระโพธิสัตว์ พลนิกายทั้งหมด คือ พราหมณ์ คฤหบดี และทวยหาญ ทุกคนประชุมกันในขณะนั้น เป็นมหาสมาคม ออกบรรพชา พร้อมกับพระราชาเหมือนกัน
ชาวเมืองพาราณสี สดับข่าวว่า พระราชาของเราทั้งหลาย ทรงสดับพระธรรมเทศนาของกุททาลบัณฑิตแล้ว ทรงบ่ายพระพักตร์ มุ่งบรรพชา เสด็จออกทรงผนวชพร้อมด้วยพลนิกาย พวกเราจักทำอะไรกันในเมืองนี้ ดังนี้แล้ว บรรดาผู้อยู่ในพระนครทั้งนั้น ต่างพากันเดินทางออกจากกรุงพาราณสี อันมีปริมณฑลได้ ๑๒ โยชน์ บริษัทก็ได้มีปริมณฑล ๑๒ โยชน์ พระโพธิสัตว์พาบริษัทนั้นเข้าป่าหิมพานต์ ในขณะนั้นอาสนะที่ประทับนั่งของท้าวสักกเทวราช สำแดงอาการร้อน ท้าวเธอทรงตรวจดู ทอดพระเนตรเห็นว่า กุททาลบัณฑิต ออกสู่มหาภิเนกษกรม แล้วทรงพระดำริว่า “จักเป็นมหาสมาคม ควรที่ท่านจะได้สถานที่อยู่” แล้วตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา ตรัสสั่งว่า “พ่อวิสสุกรรม กุททาลบัณฑิตกำลังออกสู่มหาภิเนกษกรม ท่านควรจะได้ที่อยู่ ท่านจงไปหิมวันตประเทศ เนรมิต อาศรมบท ยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๑๕ โยชน์ ณ ภูมิภาคอันราบรื่น” วิสสุกรรมเทพบุตร รับเทวบัญชาว่า “ข้าแต่เทพยเจ้า ข้าพระพุทธเจ้า จะกระทำให้สำเร็จดังเทวบัญชา” แล้วไปทำตามนั้น นี้เป็นความสังเขปในอธิการนี้ ส่วนความพิสดาร จักปรากฏในหัตถิปาลชาดก แท้จริงเรื่องนี้ และเรื่องนั้น เป็นปริเฉทเดียวกันนั่นเอง.
ฝ่ายวิสสุกรรมเทพบุตร เนรมิตบรรณศาลาในอาศรมบทแล้ว ก็ขับไล่ เนื้อ นก และ อมนุษย์ที่มีเสียงชั่วร้ายไปเสียแล้ว เนรมิตหนทางเดินจงกรมตามทิสาภาคนั้น ๆ เสร็จแล้ว เสด็จกลับไปยังวิมานอันเป็นสถานที่อยู่ของตนทันที.
ฝ่ายกุททาลบัณฑิต พาบริษัทเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ลุถึง อาศรมบทที่ท้าวสักกะทรงประทาน ถือเอาเครื่องบริขารแห่งบรรพชิต ที่วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตไว้ให้ บวชตนเองก่อน ให้บริษัทบวชทีหลัง จัดแจงแบ่งอาศรมบทให้อยู่กันตามสมควร มีพระราชาอีก ๗ พระองค์ สละราชสมบัติ ๗ พระนคร ติดตาม มาทรงผนวชด้วย อาศรมบท ๓๐ โยชน์ เต็มบริบูรณ์ กุททาลบัณฑิต ทำบริกรรมในกสิณที่เหลือ เจริญพรหมวิหารธรรม บอกกรรมฐานแก่บริษัท บริษัททั้งปวงล้วนได้สมาบัติ เจริญพรหมวิหารแล้ว พากันไปสู่พรหมโลกทั่วกัน ส่วนประชาชน ที่บำรุงพระดาบสเหล่านั้น ก็ล้วนได้ไปสู่เทวโลก.
พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า จิตนี้ ติดด้วยอำนาจของกิเลสแล้ว เป็นธรรมชาติปลดเปลื้องได้ยาก โลภธรรมทั้งหลายที่เกิดแล้ว เป็นสภาวะละได้ยาก ย่อมกระทำท่านผู้เป็นบัณฑิตเห็นปานฉะนี้ ให้กลายเป็นคนไม่มีความรู้ไปได้ ด้วยประการฉะนี้”
ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย เมื่อจบสัจจะ ภิกษุทั้งหลาย บางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี บางพวกบรรลุพระอรหัต พระบรมศาสดา ทรงประชุมชาดกว่า
พระราชา ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์
บริษัทในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธบริษัท
ส่วนกุททาลกบัณฑิต ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ กุททาลชาดก