ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๙. อปายิมหวรรค
อกตัญญูชาดก
ว่าด้วยคนอกตัญญู
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ได้ยินว่า เศรษฐีชาวปัจจันตชนบทผู้หนึ่ง ได้เป็นอทิฏฐสหาย (สหายผู้ยังไม่เคยพบกัน) ของท่านอนาถบิณฑิกะ กาลครั้งหนึ่ง เศรษฐีนั้นบรรทุกเกวียน ๕๐๐ เล่ม เต็มไปด้วยสิ่งของที่มีอยู่ในปัจจันตชนบท กล่าวกะพวกคนงานว่า ไปเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงนำของสิ่งนี้ไปสู่พระนครสาวัตถี ขายให้แก่มหาเศรษฐีอนาถบิณฑิกะ สหายของเราด้วยราคาของตอบแทน แล้วพากันขนของตอบแทนมาเถิด คนงานเหล่านั้น รับคำของท่านเศรษฐีแล้ว พากันไปสู่พระนครสาวัตถี พบท่านมหาเศรษฐีอนาถบิณฑิกะแล้วให้บรรณาการ แจ้งเรื่องนั้นให้ทราบ แม้ท่านมหาเศรษฐีเห็นแล้วก็กล่าวว่า พวกท่านมาดีแล้ว จัดการให้ที่พักและเสบียงแก่คนเหล่านั้น ไต่ถามความสุขของเศรษฐี ผู้เป็นสหาย รับซื้อภัณฑะไว้ แล้วให้ภัณฑะตอบแทนไป คนงานเหล่านั้นพากันไปสู่ปัจจันตชนบท แจ้งเนื้อความนั้นแก่เศรษฐี ของตน
ต่อมาท่านอนาถบิณฑิกะ ก็ส่งเกวียน ๕๐๐ เล่มอย่างนั้นแหละ ไปในปัจจันตชนบทนั้นอีก พวกนายเกวียนไปในปัจจันตชนบทนั้นแล้ว นำบรรณาการไปมอบให้ท่านเศรษฐีปัจจันตชนบท เศรษฐีนั้นถามว่า พวกเจ้ามาจากที่ไหนเล่า ครั้นพวกคนเหล่านั้น บอกว่ามาจากพระนครสาวัตถี สำนักอนาถบิณฑิกะผู้เป็นสหายของท่าน เศรษฐีนั้นก็หัวเราะเยาะพูดว่า คำว่า อนาถบิณฑิกะ จักเป็นชื่อของบุรุษคนไหน ๆ ก็ได้ แล้วรับเครื่องบรรณาการไว้ ส่งกลับไปว่า พวกเจ้าจงไปกันเถิด และมิได้จัดการเรื่องที่พักและให้เสบียงเลยให้กับนายเกวัยนเหล่านั้นเลย คนเหล่านั้นต้องขายสิ่งของกันเอง แล้วพากันขนสิ่งของตอบแทนมาพระนครสาวัตถี แล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่เศรษฐี
อยู่ต่อมา เศรษฐี ชาวปัจจันตชนบทส่งเกวียน ๕๐๐ เล่มอย่างนั้นแหละ ไปสู่พระนครสาวัตถีซ้ำอีกครั้งหนึ่งนายเกวียนก็น้อมนำบรรณาการไปพบท่านมหาเศรษฐี ฝ่ายพวกคนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เห็นพวกนั้นแล้วก็กล่าวว่า ท่านขอรับ พวกผมจักจัดแจงที่พัก อาหาร และเสบียงของพวกนั้นเอง แล้วบอกให้พวกนั้นปลดเกวียน ไว้ในที่เช่นนั้น ภายนอกพระนคร กล่าวว่า พวกท่านพากันอยู่ ที่นี่เถิด ข้าวยาคูแลภัตร และเสบียงสำหรับพวกท่าน ในเรือนของพวกท่านจักพอมี แล้วพากันไปเรียกพวกทาสและกรรมกรมาประชุมกัน พอได้เวลาเที่ยงคืน ก็คุมกันปล้นเกวียนทั้ง ๕๐๐ เล่ม แย่งเอาแม้กระทั่งผ้านุ่ง ผ้าห่มของคนเหล่านั้น ไล่โคให้หนีไปหมด ถอดล้อเกวียน ๕๐๐ เล่มเสียหมดวางไว้ที่แผ่นดิน แล้วขนเอาแต่ล้อเกวียนทั้งหลายไป
พวกชาวปัจจันตชนบท ไม่เหลือแม้แต่ผ้านุ่งต่างกลัวพากันรีบหนีไปสู่ปัจจันตชนบท ฝ่ายคนของท่าน มหาเศรษฐีพากันบอกเรื่องนั้นแก่ท่านมหาเศรษฐี.ท่านมหาเศรษฐีคิดว่า บัดนี้มีเรื่องนำข้อความที่จะกราบทูลแล้ว จึงไปสำนักพระบรมศาสดา กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี เศรษฐีชาวปัจจันตชนบทนั้น เป็นผู้มีปกติประพฤติอย่างนี้ ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้มีปกติประพฤติเช่นนี้มาแล้วเหมือนกัน และเมื่อท่านเศรษฐีกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นเศรษฐีมีสมบัติมากในพระนครพาราณสี เศรษฐีชาวปัจจันตชนบทผู้หนึ่ง ได้เป็นอทิฏฐสหาย ของท่านเรื่องอดีตทั้งหมด เป็นเหมือนกับเรื่องในปัจจุบันนั่นแหละ (แปลกกันแต่ว่า) พระโพธิสัตว์เมื่อคนของตนแจ้งให้ทราบว่า วันนี้พวกผมทำงานชื่อนี้ ดังนี้แล้วก็กล่าวว่า พวกนั้นไม่รู้อุปการะที่เขาทำแก่ตนก่อน จึงพากันได้รับกรรมเช่นนี้ในภายหลัง
พระโพธิสัตว์แสดงธรรมด้วยคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว กระทำบุญทั้งหลาย มีให้ทาน เป็นต้น แล้วก็ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
เศรษฐีชาวปัจจันตชนบท ในครั้งนั้น ได้มาเป็นเศรษฐีปัจจันตชนบทคนนี้แหละ
ส่วนพาราณสีเศรษฐีได้มาเป็นเรา ตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อกตัญญูชาดก