ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๒. หังสิวรรค
วัฏฏกชาดก
ว่าด้วยการใช้ความคิด
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภบุตรของอุตตรเศรษฐี ตรัสพระธรรมเทศนานี้
ได้ยินว่า ในพระนครสาวัตถี ได้มีเศรษฐีชื่อว่า อุตตระ มีสมบัติมาก สัตว์ผู้มีบุญผู้หนึ่งจุติจากพรหมโลก ถือปฏิสนธิในท้องแห่งภรรยาของท่านเศรษฐี เจริญวัย มีรูปงดงาม แจ่มใส มีผิวพรรณเพียงดังพรหม อยู่มาวันหนึ่งในพระนครสาวัตถี มีงานนักขัตฤกษ์ประจำเดือน ๑๒ บุตรเศรษฐีอื่น ๆ ผู้เป็นสหายของเศรษฐีบุตรนั้น ได้มีภรรยากันแล้ว แต่เพราะเหตุที่บุตรของท่านอุตตรเศรษฐี อยู่ในพรหมโลกตลอดกาลนาน จิตจึงไม่ชุ่มชื่นในกองกิเลส ครั้งนั้น พวกเพื่อน ๆ ของเขา ปรึกษากันว่า พวกเราจักนำหญิงคนหนึ่ง มาให้บุตรท่านอุตตรเศรษฐี แล้วชวนกันเล่นนักขัตฤกษ์ เขาเหล่านั้นจึงเข้าไปหาบุตรท่านอุตตรเศรษฐีแล้วกล่าวว่า "เพื่อนรัก ในพระนครนี้มีงานมหรสพประจำเดือน ๑๒ พวกเราจักพาหญิงคนหนึ่งมาให้ท่าน แล้วจักเล่นนักขัตฤกษ์กัน" เมื่อเขาบอกว่า "ผมไม่ต้องการผู้หญิง" เขาเหล่านั้นก็พากันแค่นไค้ กระเซ้าอยู่บ่อย ๆ จนต้องยอมรับ เขาเหล่านั้นจึงไปแต่งนางวรรณทาสีคนหนึ่งด้วยเครื่องประดับพร้อมสรรพพาไปเรือนของบุตรท่านอุตตรเศรษฐีแล้วกล่าวว่า เธอจงไปอยู่กับบุตรท่านอุตตรเศรษฐีเถิด แล้วจึงส่งนางเข้าไปสู่ห้องนอน แล้วพากันออกไป
แม้นางจะเข้าไปถึงห้องนอน บุตรท่านอุตตรเศรษฐีก็ไม่มองดู ไม่พูดจาด้วย นางคิดว่า ชายผู้นี้ไม่มองดูเรา ผู้สวยงามสมบูรณ์ด้วยความเพริดพริ้ง แพรวพราว อย่างสูง เห็นปานนี้เลย ทั้งไม่ยอมพูดจาด้วย บัดนี้ เราจักทำให้เขาจ้องมองดูเรา ด้วยกระบวนมายาและการเยื้องกรายของหญิงให้ได้ ดังนี้แล้ว เริ่มแสดงเสน่ห์หญิง เผยปลายฟัน ด้วยการโปรยยิ้ม ทำชมดชม้อยเอียงอาย เศรษฐีบุตรมองดู และยึดเอานิมิตใน กระดูกฟัน เกิดอัฏฐิกสัญญา ร่างงามนั้นแม้ทั้งหมดก็ปรากฏเป็นเหมือนโครงกระดูก เขาจึงให้รางวัลนาง แล้วส่งตัวกลับไป.
ชนผู้หนึ่งเห็นนางลงมาจากเรือนนั้น ก็ให้เงินนางแล้วพาไปสู่เรือนของตน ล่วงได้เจ็ดวัน งานนักขัตฤกษ์ก็ยุติ มารดาของนางวรรณทาสีไม่เห็นนางกลับมา ก็ไปหาเศรษฐีบุตรทั้งหลายถามว่า "ลูกสาวของฉันไปไหน?" เศรษฐีบุตรเหล่านั้น ก็พากันไปสู่เรือนของอุตตรเศรษฐีบุตร ถามว่า "นางไปไหน?" เขาบอกว่า "ฉันให้รางวัลนางแล้วส่งตัวกลับไปแล้ว" ขณะนั้นมารดาของนางก็ร้องไห้ พลางกล่าวว่า "ฉันไม่เห็นลูกสาวของฉันที่ไหนเลย พวกท่านต้องพาลูกสาวของฉันมาส่ง" แล้วจับบุตรอุตตรเศรษฐีไปสู่ราชสำนัก
พระราชาเมื่อทรงชำระคดี รับสั่งถามว่า "เศรษฐีบุตรเหล่านี้พานางไปให้เจ้าหรือ ?"
เขากราบทูลว่า "พระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ"
รับสั่ง ถามว่า "เดี๋ยวนี้นางไปไหนละ ?"
กราบทูลว่า "ไม่ทราบเกล้าฯ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ส่งนางกลับไปในขณะนั้นแหละ พระเจ้าข้า"
รับสั่งว่า "เดี๋ยวนี้เจ้าอาจพานางส่งคืนได้ไหมเล่า ?"
กราบทูลว่า "ข้าพระองค์ไม่สามารถพระเจ้าข้า"
พระราชาตรัสสั่งว่า "ถ้าไม่อาจนำตัวมาส่งคืนได้ พวกเจ้าจงลงอาญาเขาเถิด"
ครั้งนั้น พวกราชบุรุษพากันมัดแขนเขาไพล่หลัง คุมตัวไปเพื่อจักลงอาญา ข่าวก็ได้เล่าลือกันไปทั่วพระนครว่าพระราชา รับสั่งให้ลงพระราชอาญาเศรษฐีบุตร ผู้ไม่สามารถนำนางวรรณทาสีมาส่งคืนได้ ชาวเมืองกอดอกร่ำไห้คร่ำครวญว่า นายเอ๋ย ทำไม เรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านได้สิ่งไม่คู่ควรแก่ตนเลย พากันเดินร่ำไห ้ไปข้างหลังของเศรษฐีบุตร เศรษฐีบุตรคิดว่า ทุกข์ขนาดนี้ นี่เราได้รับเพราะการอยู่ครองเรือน ถ้าเราพ้นจากทุกข์นี้ไปได้ เราจักบวชในสำนักพระมหาโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า.
ฝ่ายนางวรรณทาสีนั้นเล่า ฟังเสียงเล่าลือนั้นแล้ว ก็ถามว่า "นั่นเสียงอะไร?" ครั้นทราบเรื่องราวแล้วจึงรีบลงมาโดยเร็วกล่าวว่า "จงหลีกไปเถิดท่านทั้งหลาย จงให้โอกาสเราได้พบราชบุรุษเถิด" เมื่อนางได้พบราชบุรุษแล้วจึงแสดงตนว่าเป็นนางวรรณทาสี พวกราชบุรุษเห็นนางแล้ว ก็ให้มารดารับตัวไป ปล่อยเศรษฐีบุตรแล้วพากันไป เขาถูกเพื่อน ๆ แวดล้อมไปสู่แม่น้ำ อาบน้ำ ดำเกล้าแล้ว จึงไปเรือน บริโภคอาหารเช้า ขอให้มารดาบิดาอนุญาตให้บรรพชา ถือเอาผ้าจีวรไปสำนักพระศาสดา ด้วยบริวารเป็นอันมาก ถวายบังคม แล้วกราบทูลขอบรรพชา ได้บรรพชาอุปสมบท มิได้ทอดทิ้งพระกรรมฐาน เจริญวิปัสสนา ไม่ช้าก็ตั้งอยู่ในพระอรหัตผล
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในธรรมสภา กล่าวถึงคุณของท่านว่า "ผู้มีอายุทั้งหลายบุตรของอุตตรเศรษฐี เมื่อภัยบังเกิดแก่ตน ทราบคุณของพระศาสดา ได้คิดว่า เมื่อเราพ้นจากทุกข์นี้จักบรรพชา ด้วยความคิดดีนั้น จึงพ้นจากมรณภัยด้วย บวชแล้วดำรงในผลอันเลิศด้วย" พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร?" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่แต่บุตรของอุตตรเศรษฐีเท่านั้น ที่เมื่อภัยบังเกิดแล้ว ได้คิดว่า เราจักพ้นทุกข์นี้ด้วยอุบายนี้ แม้บัณฑิตในอดีตกาล เมื่อภัยบังเกิดแก่ตนแล้ว ก็ได้คิดว่า เราจักพ้นจากทุกข์นี้ ดังนี้แล้ว ก็พ้นจากทุกข์ คือมรณภัยได้แล้วเหมือนกัน" แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกกระจาบ ครั้งนั้น นายพรานนกกระจาบคนหนึ่ง นำนกกระจาบเป็นอันมากมาจากป่า ขังไว้ในเรือน เมื่อคนทั้งหลายพากันมาซื้อ ก็ขายนกกระจาบเลี้ยงชีวิต พระโพธิสัตว์ได้คิดว่า ถ้าเราบริโภคข้าวน้ำที่พรานนี้ให้แล้วไซร้ พรานนี้ก็คงจับเราให้แก่คนที่มาซื้อ ก็ถ้าเราไม่บริโภคเล่า ก็คงซูบเซียว ครั้นคนทั้งหลายเห็นเราซูบเซียว ก็จักไม่รับเอา ความปลอดภัยจักมีแก่เราด้วย อุบายอย่างนี้ เราจักกระทำอุบายอันนี้ เมื่อพระโพธิสัตว์กระทำอย่างนั้น ก็ซูบเซียวเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก พวกมนุษย์เห็น พระโพธิสัตว์แล้วไม่แตะต้องเลย นายพรานเมื่อนกกระจาบที่เหลือหมดสิ้นไปแล้วคงเหลือแต่พระโพธิสัตว์ ก็นำออกจากพระโพธิสัตว์ออกจากกระเช้า ยืนอยู่ที่ประตู วางพระโพธิสัตว์ไว้ที่ฝ่ามือ เพื่อจะตรวจดูว่า นกกระจาบตัวนี้เป็นอะไรไป ครั้นพระโพธิสัตว์รู้ว่านายพรานเผลอ ก็กางปีกบินเข้าป่าไป นกกระจาบเหล่าอื่นเห็น พระโพธิสัตว์จึงพากันถามว่า "เป็นอย่างไรไปเล่า ท่านจึงไม่ค่อยปรากฏ ท่านไปไหนเสียเล่า?" ครั้นพระโพธิสัตว์บอกว่า "เราถูกนายพรานจับไป" ต่างก็ซักว่า "ทำอย่างไรเล่าถึงรอดมาได้?" พระโพธิสัตว์บอกว่า "เราไม่กินอาหารที่เขาให้ ไม่ดื่มน้ำ จึงรอดมาได้ด้วยการคิดอุบาย " ดังนี้แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :
"บุรุษเมื่อไม่คิด ก็ย่อมไม่ได้ผลพิเศษ
ท่านจงดูผลแห่งอุบายที่เราคิดเถิด เราพ้นจาก
การถูกฆ่าและจองจำ ก็ด้วยอุบายนั้น" ดังนี้.
พระโพธิสัตว์บอกเหตุการณ์ที่ตนกระทำแล้ว ด้วยประการ ฉะนี้.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ก็นกกระจาบผู้รอดพ้นได้ในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ วัฏฏกชาดก