ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑๕. กกัณฏกวรรค
เอกปัณณชาดก
ว่าด้วยต้นไม้ใบเดียว
พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยพระนครไพสาลี ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า ในกาลครั้งนั้น พระนครเวสาลี มีกำแพงล้อมถึง ๓ ชั้น ตลอดบริเวณคาวุตหนึ่ง (๔,๐๐๐ เมตร) ประกอบไปด้วยกระท่อมพล และป้อมในที่ทั้งสาม ถึงความเป็นเมืองงดงามอย่างยิ่ง จำนวนพระราชาเสวยราชสมบัติอยู่เป็นนิตยกาลในพระนครนั้นเล่า มีถึงเจ็ดพันเจ็ดร้อยเจ็ดองค์ จำนวนอุปราชก็เท่านั้นเหมือนกัน เสนาบดีและขุนคลัง ก็มีจำนวนฝ่ายละเท่านั้น ในกลุ่มแห่งโอรสของราชาเหล่านั้น มีราชกุมารผู้หนึ่ง พระนามว่า ทุฏฐลิจฉวี เป็นผู้มักโกรธ ดุร้าย หยาบคาย เป็นเสมือนอสรพิษที่ถูกตีด้วยไม้ คอยเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เป็นประจำ ผู้ที่จะชื่อว่าสามารถกล่าวถ้อยคำสองสามคำ ต่อหน้าพระกุมารด้วยอำนาจแห่ง ความโกรธ ไม่มีเลย พระมารดา พระบิดา พระประยูรญาติ และพระสหายต่างไม่สามารถที่จะอบรมเธอได้เลย.
ครั้งนั้น พระมารดา และพระบิดาของเธอ ได้ทรงวิตกว่า กุมารนี้หยาบคายยิ่งนัก โหดเหี้ยมเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ผู้อื่นที่จะชื่อว่าสามารถอบรมเธอได้ไม่มีเลย เธอควรจะเป็นผู้อันพระพุทธเจ้า ทรงแนะนำดังนี้แล้ว พาพระกุมารไปสู่สำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุมารนี้ดุร้าย หยาบคาย รุ่งโรจน์อยู่ด้วยความโกรธ ขอพระองค์ทรงประทานพระโอวาทแก่กุมารนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า"
พระศาสดาทรงโอวาทพระกุมารว่า "ดูก่อนกุมาร เธอไม่น่าจะเป็น คนดุร้าย หยาบคาย ร้ายกาจ ชอบข่มเหงรังแกในหมู่สัตว์เหล่านี้เลย ขึ้นชื่อว่า คนมีวาจาหยาบ ย่อมไม่เป็นที่รัก ที่ชอบใจ แม้ของมารดาบังเกิดเกล้า แม้ของบิดา แม้ของบุตรภรรยา แม้ของพี่น้องชายหญิง แม้ของหมู่มิตรเผ่าพันธุ์พวกพ้อง เป็นที่ตั้งแห่งความหวาดหวั่น เหมือนงูที่กำลังเลื้อยมากัด เหมือนโจรที่ส้องสุมกันอยู่ในดง เหมือนยักษ์ที่กำลังเดินมาจับกิน ในวารจิตที่ ๒ ย่อมบังเกิดในนรกเป็นต้นได้
ในปัจจุบันนั้นเล่า คนมักโกรธ ถึงจะประดับประดางดงาม ก็คงยังมีผิวพรรณเศร้าหมองอยู่นั่นเอง หน้าตาของเขาแม้จะมีสิริเพียงดวงจันทน์เต็มดวง ก็จะเป็นเหมือนดอกบัวที่ถูกลนไฟ เหมือนวงแว่นทองคำที่ฝ้าจับ ย่อมผิดรูปผิดร่างไม่น่าดู เพราะว่าฝูงสัตว์อาศัยความโกรธ ย่อมจับศาตราประหารตนเองตาย ดื่มยาพิษตาย ผูกคอตาย โดดเขาตาย ครั้นตายด้วยอำนาจความโกรธอย่างนี้แล้ว ก็ย่อมบังเกิดในอบายภูมิมีนรกเป็นต้น ถึงคนที่ชอบข่มเหงเขาเล่า ก็ต้องถูกติเตียนในปัจจุบัน เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ก็บังเกิดในนรกเป็นต้น แม้จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ย่อมเป็นคนมีโรคมาก ตั้งแต่เกิดมาทีเดียว บรรดาโรคทั้งหลาย มีโรคตา โรคหู เป็นต้น จะรุมกันทับถมคนประเภทนี้ พวกเขาจะไม่พ้นไปจากโรคร้าย จะเป็นผู้ครองทุกข์อยู่เป็นประจำทีเดียว เพราะฉะนั้น เธอพึงเป็นคนมีจิตเมตตา มีจิตอ่อนโยนในสรรพสัตว์ เพราะบุคคลเช่นนี้ ย่อมรอดพ้นจากภัยมีนรกเป็นต้นก็ได้ ดังนี้"
กุมารนั้น สดับโอวาทของพระศาสดาแล้ว ทิ้งมานะเสียได้ ด้วยพระโอวาทครั้งเดียวเท่านั้น เป็นผู้ฝึกฝนได้ ไร้พยศ เป็นคนมีจิตอ่อนโยน ทีเดียว แม้คนอื่นจะด่าจะตี ก็มิได้เหลียวหลังมองดู เหมือนงูที่ถูกถอนเขี้ยว เหมือนปูที่ถูกหักก้าม และเหมือนโคผู้ที่ถูกตัดเขา ฉะนั้น.
ภิกษุทั้งหลายทราบพฤติการณ์ของกุมารนั้นแล้ว จึงยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระมารดา บิดา พระประยูรญาติและพระสหายเป็นต้น มิอาจฝึกลิจฉวีกุมาร ผู้ดุร้าย แม้ตลอดเวลาอันยาวนาน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทรมานเธอด้วยพระโอวาทครั้งเดียวเท่านั้น ก็ได้ทรงกระทำเหตุ คือการให้อยู่ในขอบเขตที่เชิดชูกันได้ เหมือนนายควาญช้าง ทรมานพญาช้างซับมันให้หมดพยศร้ายฉะนั้น ตรงกันกับ พระพุทธภาษิตที่ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ช้างที่ควรฝึกได้ ม้าที่ควรฝึกได้ โคที่ควรฝึกได้ อันผู้ฝึกได้ฝึกหัดแล้วย่อมวิ่ง ไปได้ทิศเดียวเท่านั้น คือทิศตะวันออก หรือตะวันตก เหนือ หรือใต้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ม้าที่ควรฝึกได้ อันผู้ฝึกได้ฝึกหัด แล้ว ฯลฯ โคที่ควรฝึกได้ อันผู้ได้ฝึกหัดแล้ว ฯลฯ ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย บุรุษที่ควรฝึกได้ อันตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝึกหัดแล้ว ย่อมแล่นไปได้ทั้งแปดทิศ ผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลายได้ ผู้ที่ทรงฝึกแล้วนี้เล่า ก็เป็นเช่นนั้น ฯลฯ ตถาคตนั้น บัณฑิต ย่อมกล่าวว่า เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึกเลิศกว่าอาจารย์ผู้ฝึกทั้งหลาย ผู้มีอายุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ที่จะเสมอเหมือน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีอย่างแท้จริง พระศาสดาเสด็จมาตรัส ถามว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอประชุมสนทนากัน ด้วยเรื่องอะไร" เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในครั้งนี้เท่านั้น ที่เราฝึกกุมารนี้ได้ ด้วยโอวาทครั้งเดียว แม้ในครั้งก่อน เราก็ได้ฝึกเธอ ด้วยโอวาทครั้งเดียวเหมือนกัน" ดังนี้แล้วทรงนำเรื่องราวในอดีต มาสาธก ดังต่อไปนี้ :
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว เล่าเรียนไตรเพท และสรรพศิลปวิทยา ในเมืองตักกสิลา อยู่ครองเรือนสิ้นกาลเล็กน้อย ครั้นมารดาบิดาล่วงลับไป ก็บวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิดแล้ว พำนักอยู่ในป่าหิมพานต์ ครั้นอยู่ในป่านั้นนาน ๆ ก็ไปสู่ชนบทเพื่อบริโภคเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ บรรลุถึงพระนครพาราณสี อาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน รุ่งเช้านุ่งห่มเรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์ด้วยมรรยาทของดาบส เข้าสู่พระนครเพื่อภิกษา เดินไปถึงพระลานหลวง.
พระราชากำลังทอดพระเนตรทางช่องพระแกล ทรงเห็นท่านแล้ว ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถ ทรงดำริว่า พระดาบสนี้ อินทรีย์งดงาม ใจสงบ ทอดตาต่ำชั่วแอก ประหนึ่งวางถุงทรัพย์ ๑,๐๐๐ เหรียญ ไว้ทุก ๆ ย่างก้าว เดินมาด้วยลีลาองอาจอย่างราชสีห์ หากจะมีสภาวะที่ชื่อว่า สันตธรรมอยู่อย่างหนึ่งละก็ สันตธรรมนั้นต้องมีภายในของดาบสนี้ แล้วทรงเหลียวดูอำมาตย์ผู้หนึ่ง อำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลว่า "ข้าพระองค์จักต้องทำอะไรพระเจ้าข้า"
รับสั่งว่า "เจ้าจงไปนิมนต์พระดาบสนั้นมา"
เขารับพระดำรัสว่า "ดีละ พระเจ้าข้า" เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ไหว้แล้วรับภาชนะใส่ภิกษาจากมือพระโพธิสัตว์ เมื่อพระโพธิสัตว์ กล่าวว่า "อะไรหรือ ท่านผู้มีบุญมาก"
ก็กราบเรียนว่า "ข้าแต่ พระคุณท่านผู้เจริญ พระราชารับสั่งนิมนต์พระคุณเจ้า"
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า "เราไม่ใช่นักบวชประจำราชสำนัก เป็นนักบวชอยู่ป่าหิมพานต์"
อำมาตย์ไปกราบทูลความนั้นแด่พระราชา พระราชาตรัสว่า "ดาบสอื่นที่เป็นผู้ใกล้ชิดของเราไม่มีดอก จงนิมนต์ท่านมาเถิด" อำมาตย์ก็ไปไหว้พระโพธิสัตว์ พูดอ้อนวอน นิมนต์ให้เข้าไปสู่พระราชวัง พระราชาถวายบังคมพระโพธิสัตว์ อาราธนาให้นั่งเหนือบัลลังก์ทอง ภายใต้เศวตรฉัตร ให้ฉันโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ ที่เขาจัดไว้เพื่อพระองค์ แล้วรับสั่งถามว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าอยู่ที่ไหนเจ้าข้า"
พระโพธิสัตว์ถวายพระพรว่า "มหาบพิตร อาตมาภาพ อยู่ป่าหิมพานต์"
รับสั่งถามว่า "บัดนี้พระคุณเจ้าจะไปที่ไหน"
ถวายพระพรว่า "มหาบพิตร อาตมาภาพกำลังสอดส่องเสนาสนะที่เหมาะแก่ฤดูฝน"
รับสั่งว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น นิมนต์อยู่ในอุทยาน ของพวกโยมเถิดขอรับ" ทรงถือปฏิญญาแล้ว แม้พระองค์เองเสวยเสร็จ ก็ทรงพาพระโพธิสัตว์เสด็จไปสู่อุทยาน รับสั่งให้สร้างบรรณศาลา ให้กระทำที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ทรงถวายบริขารสำหรับบรรพชิต ทรงมอบหมายให้คนเฝ้าสวนคอยดูแล แล้วเสด็จเข้าพระนคร.
นับแต่นั้น พระโพธิสัตว์ก็อยู่ในอุทยาน แม้พระราชาก็เสด็จไปหาท่านวันละสองสามครั้งทุก ๆ วัน ก็แลพระราชานั้นทรงมีพระโอรส พระนามว่า ทุฏฐกุมาร เป็นผู้มีสันดาน ดุร้าย หยาบคาย พระราชา และพระประยูรญาติทั้งหลาย ต่างก็ไม่สามารถจะฝึกหัดอบรมเธอได้ พวกอำมาตย์ก็ดี พวกพราหมณ์ และคฤหบดีก็ดี แม้จะร่วมกันว่ากล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า "ข้าแต่เจ้านาย ท่านอย่าได้ทำอย่างนี้เลย ท่านไม่น่าจะทำอย่างนี้ ก็มิสามารถจะให้เธอเชื่อถือถ้อยคำได้"
พระราชาทรงพระดำริว่า "ยกเว้นพระดาบสผู้ทรงศีลผู้เป็นเจ้าของเราเสียแล้ว คงไม่มีผู้อื่นที่จะชื่อว่าสามารถทรมานกุมารนี้ได้ พระคุณเจ้าเท่านั้นจักทรมานเขาได้" ท้าวเธอทรงพาพระกุมารไปสำนักพระโพธิสัตว์ รับสั่งว่า "พระคุณเจ้าผู้เจริญ กุมารนี้ดุร้าย หยาบคาย พวกข้าพเจ้าไม่สามารถจะอบรมฝึกสอนเธอได้ พระคุณเจ้าโปรดหาอุบายสักอย่างหนึ่งอบรมเธอให้ด้วยเถิด" ดังนี้แล้ว ทรงมอบพระกุมารแต่พระโพธิสัตว์ แล้วเสด็จหลีกไป
พระโพธิสัตว์จึงชวนพระกุมาร เที่ยวไปในอุทยาน เห็นหน่อต้นสะเดาต้นหนึ่ง เพิ่งมีใบสองใบเท่านั้น คือแตกออกข้างละหนึ่งใบ จึงกล่าวกะพระกุมารว่า กุมาร เธอจงเคี้ยวกินใบของหน่อสะเดานี้ แล้วทราบรสไว้เถิด
พระกุมารทรงเคี้ยวใบสะเดาใบหนึ่ง รู้รสแล้ว ตรัสว่า "ชิ ! ชิ ! ถ่มทิ้งที่แผ่นดินพร้อมทั้งเขฬะ"
เมื่อดาบสกล่าวว่า "เป็นอย่างไรเล่า กุมาร"
ก็กราบเรียนว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ต้นไม้นี้เปรียบเสมือนยาพิษชนิดร้ายแรง ในบัดนี้ทีเดียว ถ้าเจริญเติบโตขึ้น คงฆ่ามนุษย์เสียเป็นอันมาก พลางทรงถอนหน่อสะเดานั้น แล้วขยี้จนแหลกด้วยพระหัตถ์" ตรัสคาถานี้ ความว่า :
"ต้นไม้นี้ มีใบข้างละหนึ่งใบ จากแผ่นดิน
ยังไม่ถึง ๔ องคุลี มีรสเสมอกับยาพิษ
ต้นไม้นี้เติบโตขึ้น จักขมสักเพียงไหน" ดังนี้.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ จึงกล่าวคำนี้กะพระกุมารว่า "กุมารเอ๋ย เธอกล่าวถึงหน่อสะเดานี้ว่าเดี๋ยวนี้เอง มันยังขมถึงเพียงนี้ เมื่อมันโตจักเป็นอย่างไร อาศัยมันแล้ว จะมีความเจริญมาแต่ไหน" ดังนี้แล้วถอนขยี้ทิ้งไป เธอปฏิบัติในหน่อสะเดานี้ฉันใดเล่า แม้ชาวแว่นแคว้นของเธอ ก็คงฉันนั้น จักพากันกล่าวว่า "พระกุมารนี้ยังเป็นเด็กอยู่ทีเดียว ยังดุร้าย หยาบคาย อย่างนี้ เมื่อเจริญเติบโตครองราชสมบัติ จักทำอย่างไรกันเล่า ที่ไหนพวกเราจักอาศัยเธอพากันจำเริญได้ แล้วไม่ยอมถวายราชสมบัติ อันเป็นของแห่งตระกูลของเธอ จักถอดถอนเธอเสีย เหมือนหน่อสะเดา แล้วทำการขับไล่ออกไปเสียจากแว่นแคว้น เพราะฉะนั้นเธอจงละเว้นความเป็นผู้ตนเปรียบเหมือนต้นสะเดาเสีย จงถึงพร้อมด้วยความอดทน ความเมตตา และความเอื้อเฟื้อ ตั้งแต่บัดนี้ไปเถิด"
นับแต่นั้น พระกุมารก็หมดมานะ หมดพยศ สมบูรณ์ด้วยความอดทน ความเมตตา และความเอื้อเฟื้อ ดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ครั้นพระชนกล่วงลับไปแล้ว ก็ได้ครองราชสมบัติ ทรงบำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้น แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสย้ำว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่เราทรมานลิจฉวี กุมารผู้ชั่วร้ายได้ แม้ในครั้งก่อนเราก็เคยทรมานเธอแล้วเหมือนกัน" ดังนี้แล้วทรงประชุมชาดกว่า
ทุฏฐกุมารในครั้งนั้น ได้มาเป็น ลิจฉวีกุมารนี้
พระราชาได้มาเป็นอานนท์
ส่วนดาบสผู้ให้โอวาท ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ เอกปัณณชาดก