ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๓. กุรุงควรรค
มหิลามุขชาดก
ว่าด้วยการเสี้ยมสอน
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวัน ทรงปรารภพระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ดังนี้
ความพิสดารว่า พระเทวทัตทำให้อชาตศัตรูกุมารเลื่อมใสแล้ว ยังลาภสักการะให้เกิดขึ้น อชาตศัตรูกุมารให้สร้างวิหารที่ตำบลคยาสีสะเพื่อพระเทวทัต แล้วนำไปเฉพาะโภชนะข้าวสาลีมีกลิ่นหอมซึ่งเก็บไว้ ๓ ปี วันละ ๕๐๐ สำรับ โดยรสเลิศต่าง ๆ เพราะอาศัยลาภสักการะ บริวารของพระเทวทัตจึงใหญ่ขึ้น พระเทวทัตพร้อมทั้งบริวารอยู่ในวิหารนั่นแหละ
สมัยนั้นมีสหาย ๒ คนผู้เป็นชาวเมืองราชคฤห์ ในสองสหายนั้น คนหนึ่งบวชในสำนักของพระศาสดา คนหนึ่งบวชในสำนักของพระเทวทัต สหายทั้งสองนั้นย่อมได้พบเห็นกันและกันอยู่เสมอ แม้ไปวิหารก็ยังได้พบเห็นกัน
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นนิสิตของพระเทวทัตกล่าวกะภิกษุนอกนี้ว่า ผู้มีอายุ ท่านจะเที่ยวบิณฑบาตมีเหงื่อไหลอยู่ทุกวัน ๆ ทำไม ท่านนั่งในวิหารที่ตำบลคยาสีสะเท่านั้น จะได้บริโภคโภชนะดีด้วยรสเลิศต่าง ๆ ข้าวปายาสเห็นปานนี้ไม่มีในวิหารนี้ ท่านจะมัวเสวยทุกข์อยู่ทำไม ประโยชน์อะไรแก่ท่าน การมายังคยาสีสะแต่เช้าตรู่แล้วดื่มข้าวยาคู พร้อมด้วยแกงอ่อม เคี้ยวของควรเคี้ยว ๑๘ ชนิด แล้วบริโภคโภชนะดีด้วย รสเลิศต่าง ๆ ไม่ควรหรือ ภิกษุนั้นถูกพูดบ่อย ๆ เข้าก็อยากไป นับแต่นั้นจึงไปยังคยาสีสะ ทำการบริโภคแล้วก็มายังพระเวฬุวันต่อเมื่อเวลาสาย
เรื่องดังกล่าว ภิกษุนั้นไม่อาจปกปิดไว้ได้ตลอดไป ไม่ช้านัก ข่าวก็ปรากฏว่า ภิกษุนั้นไปคยาสีสะ บริโภคภัตที่เขาอุปัฏฐากพระเทวทัต ลำดับนั้น สหายทั้งหลายพากันถามภิกษุนั้นว่า “ผู้มีอายุ ได้ยินว่า ท่านบริโภคภัตที่เขาอุปัฏฐากแก่พระเทวทัตจริงหรือ ?”
ภิกษุนั้นกล่าวว่า “ใครกล่าวอย่างนี้”
สหายเหล่านั้นกล่าวว่า “คนโน้นและคน โน้นกล่าว”
ภิกษุนั้นกล่าวว่า “ผู้มีอายุทั้งหลาย ผมไปยังคยาสีสะบริโภคจริง แต่พระเทวทัตไม่ได้ให้ภัตแก่ผม คนอื่น ๆ ให้”
ภิกษุผู้สหายกล่าวว่า “ผู้มีอายุ พระเทวทัตเป็นเสี้ยนหนามต่อพระพุทธเจ้า เป็นผู้ทุศีล ยังพระเจ้าอชาตศัตรู ให้เลื่อมใส แล้วยังลาภสักการะให้เกิดแก่ตนโดยไม่ชอบธรรม ท่านบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ แล้วบริโภคโภชนะอันเกิดขึ้น แก่พระเทวทัตโดยไม่ชอบธรรมเลย มาเถอะ เราทั้งหลายจักนำท่านไปยัง สำนักของพระศาสดา” แล้วพาภิกษุนั้นมายังโรงธรรมสภา
พระศาสดาพอทรง เห็นภิกษุนั้นเท่านั้นจึงตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพาภิกษุนี้ ผู้ไม่ปรารถนา มาแล้วหรือ ?”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้บวชในสำนักของพระองค์ แล้วบริโภคโภชนะอันเกิดขึ้นแก่พระเทวทัตโดยไม่ชอบธรรม”
พระศาสดาตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอบริโภคโภชนะอันเกิดแก่พระเทวทัตโดยไม่ชอบธรรมจริงหรือ ?”
ภิกษุนั้น กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเทวทัต ไม่ได้ให้ภัตแก่ข้าพระองค์ คนอื่น ๆ ให้แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงบริโภคภัตนั้น”
พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุ เธออย่ากระทำการหลีกเลี่ยงในเรื่องนี้ พระเทวทัตเป็นผู้ไม่มีอาจาระ เป็นผู้ทุศีล เธอบวชในศาสนานี้แล้วคบหาศาสนาของเราอยู่นั่นแล ยังบริโภคภัตของพระเทวทัตได้อย่างไรเล่า เธอมีปกติคบหาอยู่แม้เป็นนิตยกาล ก็ยังคบหาพวกคนที่เห็นแล้ว” ครั้นตรัสแล้วจึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดง ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นอำมาตย์ของพระเจ้าพรหมทัตนั้น ในกาลนั้น ช้างมงคลของพระเจ้าพรหมทัตชื่อว่ามหิลามุข แปลว่า มีหน้าเช่นกับหน้าช้างพัง คือ ช้างพังเมื่อแลดูข้างหน้าจึงจะงาม แลดูข้างหลังไม่งามฉันใด ช้างนั้นก็ฉันนั้น เมื่อแลดูข้างหน้าจึงจะงาม เพราะฉะนั้น ชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อช้างนั้นว่า มหิลามุข เป็นช้างมีศีล สมบูรณ์ด้วยอาจาระมารยาท ไม่เบียดเบียนใคร ๆ
อยู่มาวันหนึ่ง โจรทั้งหลายมา ณ ที่ใกล้โรงช้างนั้น ในยามราตรี นั่งปรึกษาการลักอยู่ในที่ไม่ไกลช้างนั้นว่าต้องทำลายอุโมงค์อย่างนี้ ต้องกระทำการตัดช่องย่องเบาอย่างนี้ การกระทำอุโมงค์ และการตัดช่องย่องเบาให้ปราศจากรกชัฏ ให้ปราศจากพุ่มไม้ เช่นกับหนทาง เช่นกับท่านํ้า แล้วลักเอาสิ่งของไปจึงจะควร บุคคลผู้เมื่อจะลัก ต้องฆ่า และต้องประหารแล้วจึงลัก เมื่อเป็นอย่างนี้ ชื่อว่าผู้ที่สามารถจะลุกขึ้นต่อสู้จักไม่มี อันธรรมดาว่า โจรต้องเป็นผู้ไม่ประกอบด้วยศีลและอาจาระ ต้องเป็นคนกักขฬะ หยาบช้า ป่าเถื่อน
ครั้นปรึกษากันอย่างนี้แล้ว จึงให้กันและกัน จดจำเอาแล้วได้พากันไป พวกโจรพากันมาปรึกษาในที่นั้นอย่างนี้นั่นแหละเป็นเวลาหลายวัน ช้างได้ฟังคำของโจรเหล่านั้น สำคัญว่า ให้เราจดจำเป็นตัวอย่าง จึงคิดว่าบัดนี้ เราต้องเป็นผู้กักขฬะ หยาบช้า ป่าเถื่อน จึงได้ทำตัวเช่นนั้น เอางวงจับคนเลี้ยงช้างผู้มาแต่เช้าตรู่ฟาดที่พื้นดินให้ตาย ฆ่าคนที่ตัวพบ
พวกราชบุรุษจึงกราบทูลแด่พระราชาว่า “ช้างมหิลามุขเป็นบ้า ฆ่าคนที่พบเห็นแล้ว พระเจ้าข้า”
พระราชาทรงส่งพระโพธิสัตว์ไปด้วยพระดำรัสว่า “ดูก่อนบัณฑิต เธอจงไป จงดูว่า ช้างนั้นดุร้ายเพราะเหตุไร”
พระโพธิสัตว์ไปแล้วรู้ว่าช้างนั้นไม่มีโรคใน ร่างกายจึงคิดว่า เพราะเหตุไรหนอ ช้างนี้จึงเกิดเป็นช้างดุร้าย เมื่อใคร่ครวญไปจึงสันนิษฐานว่า ช้างนี้ได้ฟังคำของใคร ๆ ในที่ไม่ไกล สำคัญว่าคนเหล่านี้ ให้เราจดจำเป็นตัวอย่าง จึงเป็นช้างดุร้ายแน่นอน จึงถามพวกคนเลี้ยงช้างว่า “คนบางพวก เคยกล่าวคำอะไรในตอนกลางคืน ณ ที่ใกล้ช้าง มีอยู่หรือหนอ ?”
พวกคนเลี้ยง ช้างกล่าวว่า “ขอรับ นาย พวกโจรพากันมากล่าว”
พระโพธิสัตว์จึงไปกราบทูลแด่พระราชาว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ความพิการไม่มีในร่างกายแห่งช้างของหลวง ช้างนั้นเกิดเป็นช้างดุร้าย เพราะได้ฟังถ้อยคำของพวกโจรพะย่ะค่ะ”
พระราชา ตรัสถามว่า “บัดนี้ควรจะทำอย่างไร ?” พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า “นิมนต์สมณพราหมณ์ผู้มีศีลให้นั่งในโรงช้างแล้วกล่าวถึงศีลและอาจาระ จึงจะควรพะย่ะค่ะ”
พระราชาตรัสว่า “จงกระทำอย่างนั้นเถิด พ่อ”
พระโพธิสัตว์จึงนิมนต์สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีศีลให้นั่งในโรงช้างแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ ขอท่าน ทั้งหลายจงกล่าวศีลกถาว่าด้วยเรื่องศีล สมณพราหมณ์เหล่านั้นนั่งในที่ไม่ไกลช้าง พากันกล่าวศีลกถาว่า ไม่พึงปรามาสจับต้อง ไม่พึงด่าใคร ๆ ควรเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยศีลและอาจาระ เป็นผู้ประกอบด้วยขันติ เมตตา และความเอ็นดู ช้างนั้นได้ฟังดังนั้นคิดว่า สมณพราหมณ์เหล่านี้ให้เราศึกษาสำเหนียก จำเดิมแต่บัดนี้ไป เราควรเป็นผู้มีศีล”
พระราชาตรัสถามว่า “แล้วช้างนั้นได้เป็นผู้มีศีลแล้วหรือ ?”
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ”
พระราชาตรัสว่า “ช้างดุร้ายปานนี้ อาศัยบัณฑิตทั้งหลายจึงตั้งอยู่ในธรรมอันเป็นของเก่าได้”
พระราชาทรงพระดำริว่า “พระโพธิสัตว์รู้อัธยาศัยแม้ของสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย” จึงได้พระราชทานยศใหญ่ให้ พระราชานั้นทรงดำรงอยู่ตราบชั่วพระชนมายุ ได้ไปตามยถากรรม พร้อมกับพระโพธิสัตว์.
พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อน เธอก็คบหาคนที่พบเห็นแล้ว ๆ เหมือนกัน เพราะได้ฟังถ้อยคำของสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม จึงได้คบหาท่านผู้ตั้งอยู่ในธรรม” ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
ช้างมหิลามุขในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุผู้ซ่องเสพฝ่ายตรงข้ามในบัดนี้
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ในบัดนี้
ส่วนอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้เป็นเราคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล.