ขุททกนิกายภาค ๑
เอกนิบาต
๑. อปัณณกวรรค
ตัณฑุลนาฬิชาดก
ว่าด้วยราคาข้าวสาร
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ พระโลฬฺทายีเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
สมัยนั้น ท่านพระทัพพมัลลบุตร ได้เป็นพระภัตตุเทสก์ของสงฆ์ เมื่อพระทัพพมัลลบุตรนั้นแสดงสลากภัตเป็นต้น แต่เช้าตรู่ บางคราวพระอุทายีก็ได้ภัตดี บางคราวก็ได้ภัตเลว ในวันที่ได้ภัตเลว พระอุทายีนั้น ก็กระทำโรงสลากให้วุ่นวาย ด้วยการกล่าวว่า มีเพียงพระทัพพะเท่านั้น ที่รู้การให้สลากหรือ ? พวกเราไม่รู้หรือ ? เมื่อพระอุทายีนั้นทำโรงสลากให้วุ่นวายอยู่ ภิกษุทั้งหลายจึงได้ให้พระอุทายีนั้นเป็นผู้ให้สลาก
นับแต่พระอุทายีนั้นได้เป็นผู้ให้สลากแก่สงฆ์ แต่เมื่อท่านไม่รู้วิธีการที่เหมาะสม เมื่อจะให้ ก็ไม่รู้ว่า นี้ภัตดีหรือภัตเลว หรือ ไม่รู้ว่า ภัตดีตั้งไว้ที่โรงโน้น ? ภัตเลวตั้งไว้ที่โรงโน้น ? ไม่ได้กำหนดว่า บัญชีแสดงยอดจำนวนอยู่ในโรงโน้น ? จึงเกิดความวุ่นวายขึ้น ลำดับนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลาย จึงกล่าวกะพระอุทายีนั้นว่า ดูก่อนอาวุโสอุทายี เมื่อท่านเป็นผู้ให้สลาก ภิกษุทั้งหลายพากันเสื่อมลาภ ท่านไม่สมควรให้สลาก จงออกไปจากโรงสลาก แล้วฉุดคร่าออกจากโรงสลาก ขณะนั้น ในโรงสลาก ได้มีความวุ่นวายมาก.
พระศาสดาได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัสถามพระอานนท์เถระว่า อานนท์ ในโรงสลากมีความวุ่นวายมาก นั่นชื่อว่าเสียงอะไร พระเถระได้กราบทูล เรื่องนั้นแด่พระตถาคต พระศาสดาตรัสว่า อานนท์ อุทายีกระทำความเสื่อมลาภแก่คนอื่น เพราะความที่ตนเป็นคนโง่ มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ก็ได้กระทำแล้วเหมือนกัน พระเถระทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อตรัสเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงเรื่องในอดีตไว้ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ได้มีพระราชาพระนามว่าพรหมทัต อยู่ในพระนคร พาราณสี แคว้นกาสี ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายได้เป็นพนักงานตีราคาทองของพระเจ้าพรหมทัตนั้น ได้ตีราคาช้างและราคาม้าเป็นต้น และแก้วมณีกับทองเป็นต้น ครั้นตีราคาแล้วให้มูลค่าอันสมควรแก่เจ้าของทรัพย์นั้น แต่พระราชาทรงเป็นคนโลภ จึงทรงดำริว่า พนักงานตีราคาคนนี้ เมื่อตีราคาอยู่อย่างนี้ ไม่นานนัก ทรัพย์ในวังของเราจักถึงความหมดสิ้นไป เราควรตั้งคนอื่นให้เป็นพนักงานตีราคาจะดีกว่า
พระราชานั้นจึงทรงให้เปิดสีหบัญชรทอดพระเนตรดูพระลานหลวง ทรงเห็นบุรุษชาวบ้านคนหนึ่งผู้ทั้งเหลวไหลและโง่เขลา จึงทรงพระดำริว่า
“ผู้นี้จักอาจกระทำงานในตำแหน่งพนักงานตีราคาของเราได้”
จึงรับสั่ง ให้เรียกเขามา แล้วจึงทรงตั้งบุรุษเขลาคนนั้นไว้ในงานของผู้ตีราคา เพื่อต้องการรักษาทรัพย์ของพระองค์ ตั้งแต่นั้น บุรุษผู้โง่เขลานั้น เมื่อจะตีราคาช้างและม้าเป็นต้น ก็ตีราคาเอา ตามความชอบใจ ทำให้เสียราคา เพราะเมื่อเขาดำรงอยู่ในตำแหน่งนั้น เขากล่าวคำใด คำนั้นนั่นแหละเป็นราคา
ครั้งหนึ่งพ่อค้าม้าคนหนึ่ง นำม้า ๕๐๐ ตัว มาจากแคว้นอุตตราปถะ พระราชารับสั่งให้เรียกบุรุษนั้นมาให้ตีราคาม้า บุรุษนั้นได้ตั้งราคาม้า ๕๐๐ตัว ด้วยข้าวสารทะนานเดียว และเมื่อตีราคาแล้ว จึงกล่าวว่า
“ท่านทั้งหลายจงให้ข้าวสารหนึ่งทะนานแก่พ่อค้าม้า แล้วให้พักม้าไว้ในโรงม้า.”
พ่อค้าม้าจึงไปยังสำนักของพนักงานตีราคาคนเก่า บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วถามว่า
“บัดนี้ ควรจะทำอย่างไร ?”
พนักงานตีราคาคนเก่านั้นกล่าวว่า
“ท่านทั้งหลายจงให้สินบนแก่บุรุษนั้นแล้วถามอย่างนี้ว่า ม้าทั้งหลายของพวก ข้าพเจ้ามีราคาข้าวสารทะนานเดียว ข้อนี้รู้กันอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าประสงค์จะรู้ราคาของข้าวสารทะนานเดียว ท่านสามารถจะตีราคาข้าวสารหนึ่งทะนาน ต่อเบื้องพระพักตร์พระราชาหรือไม่ ถ้าเขาพูดว่า สามารถทำได้เช่นนั้น พวกท่านก็จงพาเขาไปยังพระราชวัง และเราก็จะไปในที่นั้นด้วย”
พ่อค้ารับคำพระโพธิสัตว์แล้วก็ให้สินบนแก่นักตีราคา แล้วบอกเนื้อความนั้น นักตีราคานั้นพอได้สินบนเท่านั้นก็กล่าวว่า
“เราสามารถจะตีราคาข้าวสารหนึ่งทะนานได้”
พ่อค้าม้ากล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจงพากันไปยังพระราชวังเถิด”
แล้วได้พานักตีราคานั้นไป พระโพธิสัตว์ก็ดี อำมาตย์เป็นอันมากก็ดี ได้พากันไปอยู่ ณ ที่นั้น พ่อค้าม้าถวายบังคมพระราชา แล้วทูลถามว่า
“ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ได้ทราบว่าม้า ๕๐๐ ตัวมีราคาเท่าข้าวสารหนึ่งทะนาน แต่ข้าวสารหนึ่งทะนานนี้มีราคาเท่าไร ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ได้โปรดถามพนักงานตีราคา พระเจ้าข้า”
พระราชาไม่ทราบความเป็นไปนั้นจึงตรัสถามว่า
“ท่านนักตีราคาผู้เจริญ ม้า ๕๐๐ ตัวมีราคาเท่าไร ?”
พนักงานตีราคากราบทูลว่า
“มีราคาข้าวสารหนึ่งทะนานพระเจ้าข้า”
พระราชาตรัสถามว่า
“แล้วข้าวสารหนึ่งทะนานนั้น มีราคาเท่าไร ?”
บุรุษโง่ผู้นั้นกราบทูลว่า “ข้าวสารหนึ่งทะนานย่อมถึงค่าเมืองพาราณสี ทั้งภายในและภายนอก พะย่ะค่ะ.”
ได้ยินว่า ในกาลก่อน บุรุษโง่นั้นสนองพระราชประสงค์ของพระราชา จึงได้ตีราคาม้าทั้งหลายด้วยข้าวสารทะนานหนึ่ง แต่เมื่อได้สินบนจากมือของพ่อค้า กลับตีราคาเมืองพาราณสีทั้งภายในและภายนอก ด้วยข้าวสารหนึ่งทะนานนั้น ก็ในกาลนั้น เมืองพาราณสีได้ล้อมกำแพงประมาณ ๑๒ โยชน์ และถ้าจะรวมแคว้นทั้งภายในและ ภายนอกเมืองพาราณสีนี้ก็จะมีประมาณ ๓๐๐ โยชน์ บุรุษโง่นั้นได้ตีราคาเมือง พาราณสีทั้งภายในและภายนอกอันใหญ่โตอย่างนี้ ด้วยข้าวสารหนึ่งทะนาน ฉะนี้.
พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถานี้ว่า
“ข้าวสารหนึ่งทะนานมีราคาเท่าไร
พระนครพาราณสีทั้งภายในนอกมีราคาเท่าไร
ข้าวสารทะนานเดียว มีราคาม้า ๕๐๐ ตัวเทียวหรือ.”
อำมาตย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้น จึงพากันตบมือหัวเราะ และทำการเยาะเย้ยว่า “เมื่อก่อน พวกเราได้มีความสำคัญว่า แผ่นดินและราชสมบัติหาค่ามิได้ นัยว่าราชสมบัติในเมืองพาราณสีพร้อมทั้งพระราชวังอันใหญ่โตอย่างนี้ มีค่าเพียงข้าวสารทะนานเดียว โอ ! ความเพียบพร้อมของพนักงานตีราคาเช่นท่าน ช่างเหมาะสม กับพระราชาของพวกเราทีเดียว”
ครั้งนั้น พระราชาทรงละอาย ให้ฉุดคร่าบุรุษโง่นั้นออกไป แล้วได้พระราชทานตำแหน่งพนักงานตีราคาแก่พระโพธิสัตว์ตามเดิม
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วทรงประชุมชาดกว่า
พนักงานตีราคาผู้เป็นชาวบ้าน โง่เขลาในกาลนั้น ได้เป็นพระโลฬุทายีในบัดนี้
พนักงานตีราคาผู้เป็นบัณฑิต ในกาลนั้น ได้เป็น เรา เอง.